นายกโรงแรมไทยคนใหม่ หวั่นขึ้นค่าจ้าง 400 บาท แรงงานกระจุก 10 เมืองท่องเที่ยว

'เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์' นายกสมาคมโรงแรมไทยคนใหม่ สะท้อน 'ความกังวล' ถึงผลกระทบเรื่องการพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 บาท นำร่องกลุ่มธุรกิจ 'โรงแรม' ว่าจะเกิดผลกระทบ ทำให้ 'แรงงาน' ในโรงแรมขนาดเล็กและกลาง ไหลไปในพื้นที่นำร่อง 10 จังหวัดท่องเที่ยวแทน
และอาจไหลไปยังโรงแรมขนาดใหญ่ 4-5 ดาวขึ้นไปด้วย จากกำลังจ่ายค่าจ้างที่มากกว่า!
หลังจากคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 ประชุมพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ รอบ 2 เมื่อวันที่ 26 มี.ค. มีมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ ในการกำหนดอัตรา “ค่าจ้างขั้นต่ำ” ประเภท “กิจการโรงแรม” เพื่อใช้สำหรับนายจ้างและลูกจ้างที่ทำงานในสถานประกอบการประเภทกิจการ “โรงแรมระดับ 4 ดาว” ขึ้นไปและมีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป โดยให้ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย. 2567
โดยปรับนำร่องในเขตพื้นที่ 10 จังหวัด ได้แก่
- กรุงเทพฯ เฉพาะเขตปทุมวัน และเขตวัฒนา
- กระบี่ เฉพาะเขตองค์การบริหารส่วนตำบลอ่าวนาง
- ชลบุรี เฉพาะเขตเมืองพัทยา
- เชียงใหม่ เฉพาะเขตเทศบาลนครเชียงใหม่
- ประจวบคีรีขันธ์ เฉพาะเขตเทศบาลหัวหิน
- พังงา เฉพาะเขตเทศบาลตำบลคึกคัก
- ภูเก็ต เท่ากันทั้งจังหวัด
- ระยอง เฉพาะเขต ต.บ้านเพ
- สงขลา เฉพาะเขตเทศบาลนครหาดใหญ่
- สุราษฎร์ธานี เฉพาะเขต อ.เกาะสมุย
เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) คนใหม่ เปิดใจภายหลังได้รับการเลือกตั้งวานนี้ (28 มี.ค.) หลังจาก มาริสา สุโกศล หนุนภักดี เป็นนายกสมาคมฯ ครบ 4 ปี (2 วาระ) ว่า ตามที่คณะกรรมค่าจ้างฯ มีมติกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท เฉพาะกิจการโรงแรมก่อน มองว่า “ไม่แฟร์” สำหรับธุรกิจโรงแรมซึ่งเป็น “ผู้ถูกเลือก” ให้เป็นด่านหน้ากลุ่มแรก! และ “ไม่เห็นด้วย” ที่มีการพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นรายเซ็กเตอร์
สมาคมฯ จึงเตรียมรวบรวมปัญหาของผู้ประกอบการโรงแรมจากแต่ละภาค ใน 10 จังหวัดท่องเที่ยวดังกล่าว เพื่อนำหารือกับ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รวมถึงคณะกรรมการค่าจ้าง หรือ “ไตรภาคี” ก่อนจะมีการเสนอเรื่องขึ้นค่าจ้างฯ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 2 เม.ย.นี้
ด้วยสถานการณ์แรงงานกลุ่มโรงแรมในตอนนี้เป็นตลาดของ “พนักงาน” ไม่ได้นิ่งเหมือนยุคก่อนโควิด-19 ทุกโรงแรมเจอเรื่อง “ขาดแคลนแรงงาน” หลายคนทำงานไปด้วย แต่ก็พยายามหาที่ทำงานใหม่ไปด้วย ถ้าจ่ายให้มากกว่า ได้เซอร์วิสชาร์จมากกว่า เขาก็พร้อมไป! โดยปัจจุบันโรงแรมหลายแห่งมีผลการดำเนินงานดี เขาให้เซอร์วิสชาร์จแก่พนักงานสูงกว่าตอนปี 2562 ก่อนโควิดระบาดด้วยซ้ำ
“ตอนนี้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ 10 จังหวัดนำร่อง เขาก็เริ่มกลัว อย่างในจังหวัดทางภาคใต้ ทราบมาว่าเตรียมยื่นหนังสือถึงนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในเร็วๆ นี้”
แม้การขึ้นค่าจ้างกลุ่มโรงแรมฯ ในครั้งนี้จะเพิ่มไม่ถึง 10% ยกเว้นบางจังหวัด ถ้าปรับขึ้นเป็นวันละ 400 บาท เท่ากับว่าเพิ่มขึ้นถึง 17% แต่สิ่งที่สมาคมฯ ต้องการทราบคือ “หลักการและเหตุผล” อย่างชัดเจนในการขึ้นค่าจ้างเฉพาะกลุ่มโรงแรม 4-5 ดาว อยากให้ภาครัฐตอบคำถามเรื่องนี้กับเราให้ได้!
“แม้ตอนนี้ธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม 4-5 ดาวจะกลับมาดีจริงในยุคหลังโควิด-19 แต่อยากให้มองว่าเซอร์วิสชาร์จขึ้นสูงกว่าตอนก่อนโควิดระบาดอีกเหมือนกัน”
ประกอบกับในอดีต การขึ้นค่าแรงจะมาจากปัจจัยค่าครองชีพตามความเหมาะสม แต่ตอนนี้เหมือนมีเป้ามา เอามาตั้ง ถึงเวลาก็ขึ้นเลย ไม่ได้เป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์โดยตรง
เทียนประสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมถึง “ภารกิจ” และ “วิสัยทัศน์” ในฐานะนายกสมาคมโรงแรมไทยคนใหม่ด้วยว่า หลังจากภาคธุรกิจโรงแรมผ่านวิกฤติโควิด-19 ตอนนี้การท่องเที่ยวเริ่มกลับมา ในบางพื้นที่มีผลการดำเนินงานดีกว่าตอนก่อนโควิดระบาด แต่บางพื้นที่ก็ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่นัก จึงต้องการพัฒนาสมาคมฯ และภาพรวมธุรกิจท่องเที่ยวโรงแรม โดยเฉพาะ “คุณภาพบริการ” เพราะเริ่มได้รับเสียงบ่นมาจากนักท่องเที่ยวเหมือนกันว่าโรงแรมในไทยบางแห่งมีคุณภาพบริการต่ำลง ต่างจากยุคก่อนโควิด ถือเป็นจุดที่ต้องเร่งพัฒนา!
ภาคธุรกิจโรงแรมขาดรายได้ไป 2-3 ปีจากวิกฤติโควิด ส่งผลให้ขาดแคลนทุนทรัพย์ไปด้วย โดยเฉพาะโรงแรมระดับ 3 ดาวลงไป ที่เคยรับตลาดกรุ๊ปทัวร์ โลเกชันไม่ได้ติดสถานีรถไฟฟ้า พบว่าธุรกิจยังไม่กลับมา แม้แต่ใน จ.ภูเก็ต ที่มีนักท่องเที่ยวกลับมามากแล้วก็ตาม เรียกได้ว่ายัง “Suffer” ทุกข์ทรมานอยู่ ประกอบกับเจอสถานการณ์เที่ยวบินระหว่างประเทศฟื้นตัวไม่เต็มร้อย ราคาตั๋วเครื่องบินยังค่อนข้างแพงอีก
สมาคมฯ จึงเตรียมนำเรื่องนี้หารือกับรัฐบาลว่าจะมี “มาตรการสนับสนุน” (อินเซนทีฟ) หรือวิธีช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มนี้อย่างไร ให้สามารถฟื้นตัวได้ดีและยั่งยืน โดยเฉพาะการลงทุนปรับปรุงรีโนเวตโรงแรม เพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยว และจะร่วมมือกับสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) เพื่อจัดงานส่งเสริมการขายให้ผู้ซื้อ (บริษัทนำเที่ยว) และผู้ขาย (โรงแรม) ในสเกลนี้ได้มาพบปะเจรจาธุรกิจกัน
“ปัญหาของผู้ประกอบการโรงแรมรายเล็ก 2-3 ดาวในตอนนี้คือ ธุรกิจยังไม่กลับมา แต่ยังต้องจ่ายภาษีที่ดิน และมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ วิ่งเข้ามา เป็นเรื่องที่สมาคมฯ ต้องเร่งคุยกับภาครัฐเช่นกัน”
นอกจากนี้ “ความท้าทาย” เรื่อง “ต้นทุน” เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการโรงแรมต้องรับมืออย่างต่อเนื่อง เพราะในยุคหลังโควิด ต้นทุนการทำโรงแรมขยับขึ้น 10-20% เมื่อเทียบกับยุคก่อนโควิด ถ้าเจาะเฉพาะเรื่อง “ค่าจ้างพนักงาน” ก็มีการปรับขึ้นเพื่อแย่งชิงพนักงานกัน แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วย ทำให้บางแห่งลดจำนวนพนักงานลงได้ ก็น่ากังวลตรงที่คุณภาพบริการอาจลดลงตามไปด้วย
“ในภูมิภาคอาเซียนตอนนี้ ระดับราคาห้องพักเฉลี่ย (ADR) ของไทยอยู่ที่อันดับ 2 เป็นรองแค่สิงคโปร์ แต่พอมาดูดีๆ ราคาของเรายังห่างกับเขามากถึง 1 เท่าตัว ในฐานะนายกสมาคมโรงแรมไทยคนใหม่ จึงอยากเข้ามายกระดับคุณภาพบริการของโรงแรมไทยในภาพรวมเพื่อยกระดับราคาห้องพัก”
ขณะเดียวกัน “ระเบียบการคลัง” ที่กำหนดงบประมาณให้ข้าราชการจัดงานสัมมนาหรือออกนอกพื้นที่ ปรากฏว่าไม่ได้ปรับงบประมาณในส่วนนี้มานานกว่า 18 ปีแล้ว! สวนทางกับต้นทุนโรงแรมที่ทยอยขึ้นมาตลอด 18 ปี สมาคมฯ จึงอยากให้มีการบาลานซ์ (Balance) โดยเริ่มจากภาครัฐขยับก่อน เพื่อให้กลุ่มธุรกิจโรงแรมรู้สึกว่าได้รับการดูแล