อุตฯ หนังโต ‘เอ็ม สตูดิโอ’ จับมือค่ายดังฮอลลีวู้ด ผลิตหนังรีเมคฟอร์มยักษ์

อุตฯ หนังโต ‘เอ็ม สตูดิโอ’ จับมือค่ายดังฮอลลีวู้ด ผลิตหนังรีเมคฟอร์มยักษ์

เอ็ม สตูดิโอ เครือเมเจอร์ เปิดแผนปี 67 รุกผลิตหนังรวม 20 เรื่อง เพิ่มเท่าตัวจากปีก่อน รับอุตสาหกรรมหนังไทยเติบโต จ่อแผนจับมือกับค่ายหนังดัง ฮอลลีวู้ด สร้างคอนเทนต์ร่วมกัน ชี้อุตสาหกรรมหนังไทยคือ ซอฟต์พาวเวอร์โตแกร่ง ดึงเม็ดเงินเศรษฐกิจไทย หนุนไทยสู่การเป็น ทอลลีวู้ด

KEY

POINTS

  • ปีทองอุตสาหกรรมหนัง เม็ดเงินสะพัดจากหนังไทยอู่ฟู้ 2,400 ล้านบาท
  • หนังไทยครองส่วนแบ่งการตลาดได้มากกว่า หนังฮอลลีวู้ดเป็นครั้งแรก
  • กลุ่มลูกค้าโลคอลยังชื่นชอบคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์ มีความแปลกใหม่
  • เอ็ม สตูดิโอ เตรียมผลิตหนังใหม่ในปีนี้ 20 เรื่อง 
  • จ่อแผนร่วมมือค่ายดังฮอลลีวู้ดผลิตหนังรีเมคฟอร์มยักษ์ 

เอ็ม สตูดิโอ เครือเมเจอร์ เปิดแผนปี 67 รุกผลิตหนังรวม 20 เรื่อง เพิ่มเท่าตัวจากปีก่อน รับอุตสาหกรรมหนังไทยเติบโต จ่อแผนจับมือกับค่ายหนังดัง ฮอลลีวู้ด สร้างคอนเทนต์ร่วมกัน ชี้อุตสาหกรรมหนังไทยคือ ซอฟต์พาวเวอร์โตแกร่ง ดึงเม็ดเงินเศรษฐกิจไทย หนุนไทยสู่การเป็น ทอลลีวู้ด

เข้าสู่ช่วงปีทองของอุตสาหกรรมหนังไทย สะท้อนจากเม็ดเงินในอุตสาหกรรมในปีก่อน ภาพยนตร์ไทยสร้างรายได้รวมอยู่ที่ 2,400 ล้านบาท ครองสัดส่วนถึง 55% มากกว่าหนังฟอร์มยักษ์ จากฮอลลีวู้ดเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ ปี แรงหนุนจาก ภาพยนตร์ไทยที่สร้างสรรค์คอนเทนต์ได้ตรงใจกลุ่มลูกค้า ช่วยปลุกกระแสอุตสาหกรรมบันเทิงไทยให้กลับมาเฟื่องฟูขึ้นอีกครั้ง แรงส่งต่อเนื่องไปในอุตสาหกรรมอื่นๆ 

“สุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอ็ม สตูดิโอ (M Studio) ฉายภาพอุตสาหรรมหนังไทยว่า ในปี 2566 ได้ก้าวสู่ยุคปีทองของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยแล้ว จากการเกิดปรากฏการณ์ครั้งแรกของอุตสาหกรรมหนังไทย ที่สามารถครองส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) แซงภาพยนตร์ฮอลีวู้ดด้วยสัดส่วน 55 % หนังฮอลลีวู้ด 45 % โดยภาพยนตร์ไทยทุกเรื่องที่เข้าฉายในปีก่อนสร้างรายได้ 2,400 ล้านบาท และภาพยนตร์จากฮอลลีวู้ดสร้างรายได้ 2,085 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับปี 2564 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด สัดส่วนมาร์เก็ตแชร์หนังไทยอยู่ที่ 23% มาจากในปีก่อนมีคอนเทนต์หนังไทยที่มีคุณภาพ และฟอร์มขนาดใหญ่เข้ามาสู่ตลาด ที่ได้รับผลตอบรับอย่างล้มหลาม

ทั้งนี้เห็นได้ชัดเจนจากหนังไทย 3 เรื่อง ที่เข้าฉายในไตรมาสสุดท้าย สร้างรายได้ร้อนแรงกว่า 1,000 ล้านบาท และคิดเป็นจำนวนบัตรชมภาพยนตร์กว่า 10 ล้านใบ สถิติอันดับหนึ่งได้แก่ สัปเหร่อ สร้างรายได้กว่า 700 ล้านบาท จำนวนตั๋วหนังกว่า 6 ล้านใบ อันดับสอง ธี่หยด สร้างรายได้กว่า 500 ล้านบาท จำนวนตั๋วหนังกว่า 4 ล้านใบ และอันดับสาม 4Kings สร้างรายได้กว่า 200 ล้านบาท จำนวนตั๋วหนังกว่า 2 ล้านใบ

 

อุตฯ หนังโต ‘เอ็ม สตูดิโอ’ จับมือค่ายดังฮอลลีวู้ด ผลิตหนังรีเมคฟอร์มยักษ์

สุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอ็ม สตูดิโอ

ขณะเดียวกันคอนเทนต์ของผู้ผลิตไทยได้สร้างสิ่งแปลกใหม่ในตลาด และมีความสร้างสรรค์ในแต่ละเรื่อง จึงได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าในประเทศ ประกอบกับทีมงานของอุตสาหกรรมหนังไทยที่มีทักษะและทาเลนต์สูง จากการทำงานเบื้องหลังให้แก่ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยมายาวนาน ทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมไทยขยายตัวได้ดีในปีก่อน

“ในช่วงที่ผ่านมา มีผู้ผลิตหนังไทยสร้างภาพยนตร์ออกมาสู่ตลาดประมาณ 40-50 เรื่องต่อปี จากทิศทางภาพยนตร์ที่กำลังเข้าสู่ช่วงปีทอง รวมถึงการมีโรงภาพยนตร์ เปิดใหม่ขยายไปในชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศมากขึ้น ทำให้ทุกคนสามารถเข้ามาชมภาพยนตร์ได้สะดวก จึงช่วยกระตุ้นตลาดภาพยนตร์ไทยอีกทาง”

ทั้งนี้ประเมินว่า ในปี 2567 ภาพรวมอุตสาหกรรมจากผู้ผลิตไทยจะแข็งแกร่งต่อเนื่อง พร้อมสามารถดึงดูดความสนใจจากฐานผู้ชมในประเทศ และต่างประเทศ ทำให้เม็ดเงินจากภาพยนตร์ไทยขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง 

เปิดแผน เอ็ม สตูดิโอ เร่งผลิตภาพยนตร์ในปีนี้ 20 เรื่อง

แผนของ เอ็ม สตูดิโอในปี 2567 เตรียมสร้างภาพยนตร์ใหม่ 20 เรื่อง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ที่สร้าง 10 เรื่อง โดยมีทั้งการสร้างเอง และร่วมมือผู้ผลิตคอนเทนต์ไทย ทั้งช่อง 3 ในการสร้างเรื่อง มานะแมน นำแสดงโดย ณภัทร เสียงสมบุญ, โอ๊ต ปราโมทย์ และ จ๊ะ นงผณี

สำหรับเรื่องต่อมา ธี่หยด 2  กำกับและผลิตโดยทีมงานจากภาคแรก พร้อมมีพระเอกยอดนิยมอย่าง "ณเดชน์ คูกิมิยะ" มาร่วมแสดงนำเหมือนภาคแรก มีกำหนดเข้าฉายในช่วงปลายปี 2567 นี้

อุตฯ หนังโต ‘เอ็ม สตูดิโอ’ จับมือค่ายดังฮอลลีวู้ด ผลิตหนังรีเมคฟอร์มยักษ์

เตรียมจับมือค่ายฮอลลีวู้ดร่วมผลิตหนังฟอร์มยักษ์

อีกไฮไลต์ในปีนี้ เอ็ม สตูดิโอ มีแผนจับมือกับผู้ผลิตภาพยนตร์ชื่อดังจาก ฮอลลีวู้ด ในรูปแบบ โค-โปรดักชั่น สร้างภาพยนตร์ร่วมกันเป็นครั้งแรก เป็นการนำภาพยนตร์ไทยมารีเมคใหม่ คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ในระยะต่อไป โดยสะท้อนถึงศักยภาพของผู้ผลิตภาพยนตร์ไทยที่สามารถดึงดูด บริษัทระดับโลกมาร่วมมือสร้างปรากฎการณ์ครั้งใหญ่

“มองว่าผู้ผลิตไทยมีศักยภาพในการผลิตสูงขึ้นมาก และมีสเกลในการถ่ายทำ และการลงทุนที่ใหญ่มากขึ้นในทุกปี โดยเมื่อหนังไทยสามารถนำไปฉายในทั่วโลก จึงเป็นการร่วมส่งออก ซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยไปสู่ต่างประเทศ ผลักดันการสร้างทุนทางวัฒนธรรมผ่านสินค้าและบริการไทยไปสู่ลูกค้าทั่วโลก รวมถึงการดึงดูดท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ พร้อมร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอีกทาง”

ยกตัวอย่างภาพยนตร์ไทยที่ประสบความสำเร็จในปีก่อน และเอ็ม สตูดิโอ ได้มีส่วนร่วมในการผลิตกับช่อง 3 ได้แก่ “ธี่หยด” มีการไปฉายใน 20 ประเทศทั่วโลก โดยปัจจุบันก้าวสู่การเป็นหนัง บ๊อกซ์ออฟฟิศ ขึ้นแท่นสู่ภาพยนตร์ทำเงินในต่างประเทศอันดับหนึ่ง ไล่เลียง ทั้งประเทศเวียดนาม สิงคโปร์ ไต้หวัน

อีกทั้งช่วยกระตุ้นให้ดาราไทยเริ่มขยายฐานแฟนๆ ในต่างประเทศที่ทุกคนต่างรู้จักและชื่นชอบ เป็นการร่วมเปิดโอกาสใหม่ๆ อีกมหาศาล พร้อมก้าวสู่การเป็นหนังแฟรนไชส์ที่มีการทำออกมาในภาค 2 ที่จะเห็นในช่วงปลายปีนี้

อย่างไรก็ตาม หากประเมินภาพรวมรายได้ของบริษัทในปี 2566 ที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท และมีการผลิตภาพยนตร์ออกมาสู่ตลาดรวมประมาณ 10 เรื่อง