CENTEL ปี 66 ทำกำไร 1,248 ล้านบาท โตถึง 214% แม้ Q4/66 กำไรติดลบ 15%

CENTEL ปี 66 ทำกำไร 1,248 ล้านบาท โตถึง 214% แม้ Q4/66 กำไรติดลบ 15%

‘CENTEL’ ทำกำไร Q4/66 ปิดที่ 425 ล้านบาท แม้ติดลบ 15% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปี 65 แต่ทั้งปี 66 ยังปิดบวกได้ที่ 1,248 ล้านบาท เติบโตถึง 214% เทียบกับปีที่แล้ว

นายกันย์ ศรีสมพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน และรองประธานฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 6,018  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 516 ล้านบาท หรือคิดเป็น 9% เมื่อเทียบกับรายได้ไตรมาส 4/2565 โดยสัดส่วนของรายได้จากธุรกิจโรงแรมต่อรายได้จากธุรกิจอาหาร อยู่ที่ 46% : 54% (ไตรมาส 4/2565 อยู่ที่ 43% : 57%) 

ขณะที่กำไรขั้นต้นรวม 3,267 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 57% ของรายได้ (ไม่รวมรายได้อื่น) ลดลงเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ไตรมาส 4/2565: 58%) จากการลดลงของอัตรากำไรขั้นต้นธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหาร

บริษัทฯ มีกำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงินได้ (EBITDA) รวม 1,476 ล้านบาท ลดลง 55 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของ EBITDA ธุรกิจอาหาร โดยอัตรากำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงินได้ ต่อรายได้รวม (% EBITDA) 25% ลดลงเทียบกับปีก่อน (ไตรมาส 4/2565: 28%) จากการลดลงของอัตราการทำกำไรของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหาร จากต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ปรับเพิ่มขึ้นเทียบปีก่อน 

สำหรับธุรกิจโรงแรม อัตราการทำกำไรยังได้รับผลกระทบจากการปิดปรับปรุงบางส่วนของโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา และปิดปรับปรุงโรงแรม เซ็นทารา กะรน รีสอร์ท ภูเก็ต รวมถึงอัตราการทำกำไรของโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ โอซาก้า ซึ่งยังคงอยู่ในช่วงเริ่มเปิดดำเนินการและยังเติบโตไม่เต็มที่ บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ (EBIT) 719 ล้านบาท ลดลง 47 ล้านบาท หรือ 6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ไตรมาส 4/2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ 297 ล้านบาท ลดลง 201 ล้านบาท หรือ 40% เทียบปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีจากการกลับรายการขาดทุนสะสมยกมาในปี 2566 ที่บันทึกในไตรมาส 4 ทั้งจำนวนจากธุรกิจโรงแรมเป็นสำคัญ 

อย่างไรก็ดี บริษัทฯมีรายการพิเศษจากการกลับรายการด้อยค่าสินทรัพย์สุทธิจากภาษีเงินได้รอตัดบัญชีและค่าเสื่อมราคาจำนวน 128 ล้านบาท ในส่วนของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว มีการฟื้นตัวดีกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญจากการประมาณการด้อยค่าสินทรัพย์จากผลกระทบการแพร่ระบาดโควิด-19 เมื่อปี 2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิหลังรายการพิเศษจำนวน 425 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2566 ลดลง 73 ล้านบาท หรือ 15% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

CENTEL ปี 66 ทำกำไร 1,248 ล้านบาท โตถึง 214% แม้ Q4/66 กำไรติดลบ 15%

นายกันย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ตลอดปี 2566 มีรายได้รวม 22,547 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,331 ล้านบาท หรือคิดเป็น 24%เมื่อเทียบกับปี 2565 โดยสัดส่วนของรายได้จากธุรกิจโรงแรมต่อรายได้จากธุรกิจอาหารอยู่ที่ 44% : 56% (ปี 2565: 36% : 64%) ขณะที่กำไรขั้นต้นรวม 12,319 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,165 ล้านบาท หรือ 21% เทียบกับปีก่อน 

โดยคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 57% ของรายได้ (ไม่รวมรายได้อื่น) ลดลงเทียบกับปีก่อน (ปี 2565: 58%) จากการลดลงของอัตราการทำกำไรของธุรกิจอาหาร บริษัทฯมีกำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงินได้ (EBITDA) รวม 5,535 ล้านบาท (ปี 2565: 4,411 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 1,124 ล้านบาท (หรือ 25%) จากปีก่อน โดยคิดเป็นอัตรากำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงินได้ ต่อรายได้รวม (% EBITDA) 25% เพิ่มขึ้นเทียบกับปีก่อน (ปี 2565: 24%) จากการเพิ่มขึ้นของอัตราการทำกำไรของธุรกิจโรงแรม บริษัทฯมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ (EBIT) จำนวน 2,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,233 ล้านบาท เทียบกับปีก่อน (หรือ 96%) 

และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติจำนวน 1,120 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 722 ล้านบาท หรือ 181% เทียบกับปีก่อน จากการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรม และมีกำไรสุทธิหลังรายการพิเศษกลับรายการด้อยค่าของสินทรัพย์สุทธิจากภาษีเงินได้รอตัดบัญชีและค่าเสื่อมราคาจำนวน 1,248 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนกำไรสุทธิ 398 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 850 ล้านบาท หรือ 214% เทียบกับปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 บริษัทฯมีโรงแรมภายใต้การบริหารงานทั้งสิ้น จำนวน 95 โรงแรม (21,027 ห้อง) แบ่งเป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 51โรงแรม (11,166 ห้อง) และเป็นโรงแรมที่กำลังพัฒนา 44โรงแรม (9,861 ห้อง) ในส่วน 51โรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้วนั้น 20 โรงแรม (5,566 ห้อง) เป็นโรงแรมที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของ และ 31 โรงแรม (5,600 ห้อง) เป็นโรงแรมที่อยู่ภายใต้สัญญาบริหาร