เจตนารมณ์แท้จริงของกฎหมายการแข่งขันทางการค้า | วิษณุ วงศ์สินศิริกุล

เจตนารมณ์แท้จริงของกฎหมายการแข่งขันทางการค้า | วิษณุ วงศ์สินศิริกุล

สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า หรือสำนักงาน กขค. มีหน้าที่สำคัญ คือการสร้างกฎ กติกา ในการกำกับดูแลและส่งเสริมให้กระบวนการด้านการแข่งขันทางการค้าเป็นไปอย่างเสรีและเป็นธรรม ก่อให้เกิดความเข้มแข็งกับภาคธุรกิจของประเทศ

ผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าเป็นการบังคับใช้กฎหมาย (Law Enforcement) อย่างเข้มข้นเพียงอย่างเดียว แต่แท้จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะในการกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าเพื่อให้เกิดความเสรีและเป็นธรรม สามารถกระทำได้ในอีกมิติหนึ่ง

กล่าวคือ การสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบธุรกิจในทุกระดับ เพื่อให้เกิดสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งถือได้ว่า เป็นการป้องกันมิให้เกิดพฤติกรรมทางการค้าที่อาจนำไปสู่การลด จำกัดหรือทำลายการแข่งขันทางการค้า

เจตนารมณ์ในการตราและบังคับใช้ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560 (พ.ร.บ.การแข่งขันฯ) ระบุไว้ชัดเจนว่า “เพื่อทำให้การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจให้มีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม และปรับปรุงให้มาตรการในการกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้ามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” 

พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ไว้ในมาตรา 17 (3) ที่ว่า จะต้องกำกับดูแลการประกอบธุรกิจ และกำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อให้มีการแข่งขันทางการค้าอย่างเสรีและเป็นธรรม

และ (4) ที่ว่า พิจารณาเรื่องร้องเรียนและสอบสวนการกระทำความผิด ในขณะที่มาตรา 29 (2) ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน กขค.ไว้ว่า ให้ติดตามพฤติกรรมของผู้ประกอบธุรกิจที่อาจก่อให้เกิดการฝ่าฝืน และรายงานต่อ กขค. และ (3) ให้ศึกษา วิเคราะห์ วิจัยเกี่ยวกับสินค้า การบริการและพฤติกรรมในการประกอบธุรกิจ รวมทั้งเสนอแนะแนวทางและให้ความเห็นในการส่งเสริม พัฒนา และกำกับดูแลการประกอบธุรกิจ 

ดังนั้น เมื่อพิจารณาตามเจตนารมณ์และอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.การแข่งขันฯ ของ กขค.และของสำนักงาน กขค. โดยเชื่อมโยงกันแล้ว จะพบว่า แนวทางการติดตามพฤติกรรมเพื่อกำกับดูแลการประกอบธุรกิจให้ “เป็นธรรม” และ “มีประสิทธิภาพ” นั้น สามารถดำเนินการได้ 2 รูปแบบ ดังนี้

1. Pro-active Service (Ex-ante) : การป้องกันหรือป้องปราม

ได้แก่ กระบวนการก่อนเป็นเรื่องร้องเรียน (Pre-Case) ซึ่ง กขค.อาศัยอำนาจตามมาตรา 17 (3) และสำนักงาน กขค.อาศัยอำนาจตามมาตรา 29 (2) และ (3) โดยสำนักงาน กขค.จะติดตามพฤติกรรม วิเคราะห์ เสนอแนะแนวทางแล้วรายงานให้ กขค.ทราบ ซึ่ง กขค.ก็จะติดตามพฤติกรรมและกำหนดแนวทางปฏิบัติ (Guideline) เพื่อให้เกิดการแข่งขันทางการค้าที่เสรีและเป็นธรรม

จะเห็นได้ว่ากระบวนการกำกับดูแลก่อนเป็นเรื่องร้องเรียน (Pre-Case) ในรูปแบบ Pro-active Service นี้ มิใช่กระบวนการและวิธีการในลักษณะไกล่เกลี่ย หรือระงับข้อพิพาท และในบางครั้งการทำงานเชิงป้องปรามอาจจำต้องมีการหารือร่วมกันระหว่างสำนักงาน กขค.และผู้ประกอบธุรกิจ

เพื่อระงับ ยับยั้ง ความเสียหาย ป้องกันการดำเนินคดีระหว่างกัน เพราะแน่นอนที่สุด เมื่อเกิดเป็นคดีความแล้วย่อมไม่เป็นผลดีต่อผู้ประกอบธุรกิจทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะเรื่องของเวลาที่สามารถถูกใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินกิจการหรือธุรกิจของตน กลับต้องเสียไป 

2. Re-active Service (Ex-post) : การกำกับดูแล

ประกอบด้วย กระบวนการรับและประเมินผลเรื่องร้องเรียน โดย กขค.อาศัยอำนาจตามมาตรา 17 (4) ประกอบระเบียบ กขค. ว่าด้วยการร้องเรียนและการแสวงหาข้อเท็จจริง และการดำเนินคดีทางอาญา หรือคดีทางปกครอง พ.ศ.2562 ข้อ 8 

ที่ระบุว่า ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำอันเป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า หรือผู้พบเห็นการกระทำดังกล่าวอาจร้องเรียนต่อสำนักงาน กขค.ด้วยวิธีการต่างๆ (กรณีมีข้อร้องเรียน) และ ข้อ 11ในกรณีที่ความปรากฏแก่ กขค.ว่ามี หรือจะมีการกระทำอันเป็นความผิด กขค.มีอำนาจจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวและให้ถือว่าเป็นเรื่องร้องเรียนตามข้อ 8 โดยส่งให้สำนักงาน กขค.ดำเนินการตามระเบียบ 

หากมีผู้กระทำความผิด ผู้นั้นย่อมต้องถูกลงโทษ หรือหากเป็นกรณีที่ กขค.พิจารณาแล้วว่าไม่เป็นความผิด ก็จะนำไปสู่การพิจารณาให้ยุติเรื่อง

กล่าวได้ว่า รูปแบบการดำเนินงานที่กล่าวไว้ข้างต้น อาจถือเป็นอีกหนึ่งมิติใหม่ของการดำเนินงานของสำนักงาน กขค. เพื่อสะท้อนถึงเจตนารมณ์อันแท้จริงของพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560