กะตะกรุ๊ป ทุ่ม 1.5 พันล้านลงทุนอันดามัน ชู ‘สกายวอล์ค นางชี’ แลนด์มาร์กพังงา
'กะตะกรุ๊ป รีสอร์ท ประเทศไทย' ผู้นำด้านธุรกิจโรงแรมในภาคใต้ บริหารงานโดยคนไทยมากว่า 44 ปี จากจุดเริ่มต้นที่พักขนาดเล็กแบบกระต๊อบเพียง 9 หลัง ก่อนจะกรุยทางลงทุนเปิดรีสอร์ตแห่งแรกเมื่อ 34 ปีก่อน ปัจจุบันใช้ชื่อ 'บียอนด์ กะตะ'
สู่ปัจจุบัน... กะตะกรุ๊ปเป็นเจ้าของโรงแรมและรีสอร์ตในเครือรวม 8 แห่ง กำลังจะเปิดให้บริการแห่งที่ 9 ในเร็วๆ นี้ ทำให้มีจำนวนห้องพักรวมทั้งสิ้น 2,200 ห้อง จาก 9 แห่งใน 4 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ภูเก็ต 5 แห่ง พังงา 2 แห่ง กระบี่ 1 แห่ง และสุราษฎร์ธานี (สมุย) อีก 1 แห่ง ติด “TOP 3” ของกลุ่มโรงแรมที่มีจำนวนห้องพักมากที่สุดในฝั่งทะเล “อันดามัน”
ประมุขพิสิฐ อัจฉริยะฉาย ประธานกรรมการบริหาร กะตะกรุ๊ป รีสอร์ท ประเทศไทย และ บียอนด์ โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท เล่าว่า “ประเทศไทย” ประสบความสำเร็จด้านการท่องเที่ยวอย่างมาก เรียกได้ว่า “เก่งมากในย่านนี้” มีศักยภาพในการเติบโตเป็นจุดหมายปลายทางที่สุดยอดของโลก! เฉพาะ “กรุงเทพฯ” จากการสำรวจของสำนักต่างๆ พบว่าติดอันดับ 1 ของเมืองที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมมาเยือนสูงสุด ขณะที่ทะเลฝั่งอันดามัน ยังมีเกาะอีกมากมายที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ควรพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำระดับโลก เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวหน้าใหม่และกลุ่มเดินทางซ้ำ
“กะตะกรุ๊ปยังคงโฟกัสการลงทุนพัฒนาโรงแรมและรีสอร์ตฝั่งอันดามัน ซึ่งมีศักยภาพในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก อย่างภูเก็ตถือเป็นห้องรับแขกของโลก โดดเด่นด้วยจำนวนเที่ยวบินตรง และมีแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดใกล้เคียงรายล้อม ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางสะดวก เลือกมาเยือนจำนวนมาก”
ทั้งนี้ กะตะกรุ๊ป จะใช้งบลงทุนรวมประมาณ 1,500 ล้านบาท สำหรับ 4 โครงการ ได้แก่ 1.การเปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ “บียอนด์ สกายวอล์ค นางชี” (Beyond Skywalk Nangshi) บนเนื้อที่ 40 ไร่ ตั้งอยู่ใน จ.พังงา ใช้งบลงทุน 600 ล้านบาท สำหรับการพัฒนา “แลนด์มาร์ก” ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ตั้งอยู่บนโลเกชันที่ไม่มีใครเทียบได้ของทะเลอันดามัน เห็นวิวภูเขา “เสม็ดนางชี” เตรียมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการช่วงปลายเดือน มี.ค. หรือ ต้นเดือน เม.ย.นี้
โดยประกอบด้วยห้องพักจำนวน 57 ห้อง หลากหลายแบบ เหมาะกับทุกงบประมาณและความต้องการของนักท่องเที่ยว ทั้งเต็นท์วิวทะเล เต็นท์กลางป่า พาวิลเลียนวิวทะเล และพูลวิลล่า ตั้งเป้าขายราคาห้องพักอยู่ที่ 8,000-9,000 บาทต่อวัน นอกจากนี้ ยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ สระว่ายน้ำ กิจกรรมทางน้ำ และกิจกรรมท่องเที่ยวธรรมชาติ
และไฮไลต์สำคัญอย่าง “บียอนด์ สกายวอล์ค” (Beyond Skywalk) ทางเดินพื้นกระจกลอยฟ้าที่สูงและยาวที่สุดในประเทศไทย ด้วยความยาว 180 เมตร สูงจากระดับน้ำทะเล 80 เมตร กระจกสามชั้นหนา 30 มม. สามารถรองรับน้ำหนักได้มากถึง 500 กิโลกรัมต่อตารางเมตร รองรับนักท่องเที่ยวได้สูงสุด 1,500 คนต่อรอบ โดยตั้งเป้าว่าหลังเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ จะมีนักท่องเที่ยวมาเยือน 1,000 คนต่อวัน
ด้านราคาเข้าชมพร้อมเครดิตอาหารและเครื่องดื่มสำหรับผู้ใหญ่ ราคาอยู่ที่ 500 บาท ส่วนนักเรียนและเด็ก ราคา 300 บาท และเด็กเล็กเข้าชมฟรี ซึ่งราคานี้เป็นช่วงโปรโมชันเปิดตัว หมดเขตวันที่ 29 ก.พ. 2567 ส่วนลูกค้าที่เข้าพัก บียอนด์ สกายวอล์ค นางชี สามารถเข้าชมสกายวอล์คได้ฟรีอยู่แล้ว
2.การรีโนเวต “บียอนด์ กะตะ” (Beyond Kata) ครั้งใหญ่เมื่อช่วงหน้าฝน 6 เดือนของปีที่แล้ว ซึ่งมีขนาดห้องพัก 275 ห้อง ใช้งบลงทุน 300 ล้านบาท ให้เป็นรีสอร์ตเพื่อการพักผ่อนริมชายหาดที่ดีที่สุดบนหาดกะตะ ด้วยดีไซน์ร่วมสมัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้รับการออกแบบอย่างดี รวมกับการบริการมาตรฐานระดับโลก ผสานกลิ่นอายเสน่ห์ท้องถิ่นอันอบอุ่น เหมาะสำหรับกลุ่มครอบครัว และรองรับการจัดประชุม อีเวนต์ และไมซ์ (MICE: การประชุม เดินทางเพื่อเป็นรางวัล สัมมนา และแสดงสินค้า) อย่างลงตัว สู่เป้าหมายการเป็น “โรงแรมระดับเรือธง” (Flagship) ของกะตะกรุ๊ป
3.การรีโนเวต “ภูเก็ต ออร์คิด รีสอร์ท แอนด์ สปา” จะใช้งบลงทุน 400 ล้านบาท และ 4.การขยายโรงแรม “บียอนด์ กระบี่” จะใช้งบลงทุน 200 ล้านบาทในการเพิ่มจำนวนห้องพัก
ส่วนโครงการลงทุนอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการศึกษา อาทิ โครงการมิกซ์ยูสบนที่ดิน 5 ไร่ครึ่ง ใจกลางเมืองภูเก็ต ซึ่งยังต้องดูเรื่องการลงทุนอย่างระมัดระวัง แต่ถือว่าเป็นโมเดลน่าสนใจที่มีแล้วในเมืองท่องเที่ยวขนาดใหญ่ของต่างประเทศ แต่ยังไม่มีในเมืองไทย ขณะเดียวกันยังสนใจลงทุนด้านท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เกี่ยวกับน้ำพุร้อนเค็มคลองท่อมใน จ.กระบี่ อีกด้วย
“เราเชื่อมั่นว่าในปี 2568 จะเป็นปีที่เจ้าของโรงแรมในภูเก็ตตัดหัวกะทิกิน ด้วยธุรกิจโรงแรมที่พักมีแนวโน้มดีอย่างมาก”
ศศิศศ์ ถาวรว่องวงศ์ รองประธานฝ่ายกลยุทธ์การค้า กะตะกรุ๊ป กล่าวเสริมว่า คาดการณ์ว่าปี 2567 กะตะกรุ๊ปจะมีรายได้เฉพาะค่าห้องพักประมาณ 1,500 ล้านบาท เมื่อรวมกับค่าอาหารและเครื่องดื่มเป็น 1,800 ล้านบาท เติบโต 12% เมื่อเทียบกับรายได้ปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่กะตะกรุ๊ปสามารถทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดีกว่าปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด
“ด้วยภาพรวมของตลาดโรงแรมและรีสอร์ตฝั่งอันดามันในปี 2566 ยังไม่กลับมาเปิดบริการมากถึง 30-40% โดยเฉพาะโรงแรมขนาดเล็กและเก่า ประกอบกับดีมานด์ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่กลับมาเต็มร้อย เอเย่นต์ท่องเที่ยวจึงเลือกทำตลาดกับโรงแรมที่น่าเชื่อถือ ทำให้กะตะกรุ๊ปสามารถผลักดันเรื่องราคาห้องพักได้เป็นอย่างดี”