เจน3 ‘จิราธิวัฒน์’ ตั้ง ‘ซีจีแคปปิตอล’ มูลค่าหมื่นล้านลุยโรงแรม-อสังหา

เจน3 ‘จิราธิวัฒน์’ ตั้ง ‘ซีจีแคปปิตอล’ มูลค่าหมื่นล้านลุยโรงแรม-อสังหา

'ภูมิ จิราธิวัฒน์' เจน 3 แห่งตระกูลจิราธิวัฒน์ ประกาศตั้ง 'ซีจี แคปปิตอล แอดไวซอรี่-Private Equity Fund' มูลค่าเริ่มต้น 1 หมื่นล้าน ลุยลงทุนธุรกิจโรงแรม-อสังหาฯ รับเทรนด์ท่องเที่ยวไทยสัญญาณฟื้นตัวดี ประเดิมโครงการแรกคอนโดหรู “เดอะ สแตนดาร์ด เรซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา"

สถานการณ์เศรษฐกิจ-กำลังซื้อในประเทศไทยและทั่วโลกยังค่อนข้างชะลอตัว ส่งผลต่อการลงทุนต้องระมัดระวังมากขึ้น หรือบางราย “wait&see” หากแต่ท่ามกลางวิกฤติเป็นอีกโอกาสสำคัญของ "ภูมิ จิราธิวัฒน์" เจนเนอเรชั่นที่ 3 แห่งตระกูล “จิราธิวัฒน์” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนามเจ้าของธุรกิจกลุ่มเซ็นทรัล  เตรียมเปิดตัว บริษัท ซีจี แคปปิตอล แอดไวซอรี่ จำกัด (CG CAPITAL ADVISORY LIMITED) ซึ่งเป็นบริษัท Private Equity Fund ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อลงทุนในธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ ด้วยมูลค่ากองทุนเริ่มต้น 10,000 ล้านบาท

โดยจะมีการเปิดตัวบริษัทฯ  วันที่ 16 ม.ค. ณ โรงแรม พาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ พร้อมประกาศนโยบายการลงทุน รวมทั้งทิศทางในการดำเนินธุรกิจ และพัฒนาโครงการแรกคอนโดมิเนียมที่ภูเก็ต เดอะ สแตนดาร์ด เรซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา (The Standard Residences Phuket Bangtao) รองรับการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการลงทุนของบริษัทฯ โดย “ภูมิ จิราธิวัฒน์” ในฐานะผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหารกองทุน บริษัท ซีจี แคปปิตอล แอดไวซอรี่ จำกัด

แหล่งข่าวในวงการธุรกิจค้าปลีก กล่าวว่า การลงทุนในธุรกิจ "Private Equity Fund" ถือเป็นการลงทุนส่วนตัวของตระกูลจิราธิวัฒน์ ที่มีพันธมิตรทั้งภายในตระกูลและภายนอกตระกูล ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่มีอยู่ของเครือเซ็นทรัล ทั้ง บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) แต่อย่างใด

“ตระกูลจิราธิวัฒน์ในแต่ละคนมีเงินส่วนตัวจำนวนมาก จึงสนใจอยากลงทุนใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ และการลงทุนส่วนตัวมีความคล่องตัว สูง”

สำหรับ “นายภูมิ จิราธิวัฒน์” ในฐานะผู้บริหารสูงสุด “ซีจี แคปปิตอล แอดไวซอรี่” มีประสบการณ์ในธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มเซ็นทรัลอยู่แล้ว จึงมีความสนใจลงทุนและต่อยอดธุรกิจในด้านนี้

เจน3 ‘จิราธิวัฒน์’ ตั้ง ‘ซีจีแคปปิตอล’ มูลค่าหมื่นล้านลุยโรงแรม-อสังหา

ภูมิ จิราธิวัฒน์ ผู้บริหารสูงสุด “ซีจี แคปปิตอล แอดไวซอรี่” 

ชิงโอกาสท่องเที่ยวฟื้นตัวดี

สำหรับการจัดตั้งธุรกิจ "Private Equity Fund"  เป็นอีกรูปแบบของการระดมทุนเพื่อนำไปขยายกิจการได้สะดวก เป็นเงินทุนสำหรับ ธุรกิจที่ยังไม่เป็นบริษัทมหาชน และมีความตั้งใจให้ธุรกิจกลุ่มนี้สามารถจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือตลาด หลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นในอนาคต 

"ตลาดประเทศไทยและทั่วโลกเวลานี้ภาคการท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ผู้คนต่างออกเดินทางท่องเที่ยวเป็นแรงหนุนและโอกาสสำคัญของธุรกิจเกี่ยวเนื่องต่างๆ ทั้งโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย แน่นอนว่าการขยับลงทุนและพร้อมรับนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดย่อมได้เปรียบในเชิงธุรกิจ" 

ไม่เกี่ยวกรณี ‘เซลฟริดเจส’

อย่างไรก็ดี มีการจับตามองถึงกรณีห้างเซลฟริดเจส หนึ่งในธุรกิจที่กลุ่มเซ็นทรัลเข้าลงทุน และล่าสุดมีกระแสข่าวการประสบปัญหาล้มละลายของพันธมิตร “ซิกน่า” ที่ต้องยื่นขอเข้าแผนฟื้นฟูกิจการทำให้กลุ่มเซ็นทรัลมีความเสี่ยงอาจต้องใส่เงินลงทุนเพิ่ม หรือต้องหาพันธมิตรใหม่เข้ามาแทน โดยที่ “Cambridge Properties Holding Limited” บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มเซ็นทรัลและกลุ่มซิกน่า เจ้าของห้างเซลฟริดเจส กำลังร้องขอให้กลุ่มเซ็นทรัลเพิ่มเงินลงทุนในเซลฟริดเจสนั้น ทำให้แผนจัดตั้งกองทุน “Private Equity Fund” ของตระกูลจิราธิวัฒน์ครั้งนี้ ถูกจับจ้องถึงการนำเม็ดเงินดังกล่าวมาใช้ในการนี้ด้วย

แหล่งข่าว กล่าวย้ำว่า "ไทยเป็นตลาดศักยภาพและเป้าหมายหลักในการลงทุนเบื้องต้นของ ซีจี แคปปิตอล แอดไวซอรี่ และพร้อมมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในอนาคตตลอดเวลา ซึ่งขณะนี้ไม่ได้มีการกล่าวถึงกรณีเซลฟริดเจสแต่อย่างใด"

ย้อนรอยเซลฟริดเจส

สำหรับการขยายธุรกิจในต่างประเทศในกิจการ “เซลฟริดเจส” (Selfridges)ซึ่งเป็นบิ๊กดีลประวัติศาสตร์มูลค่าราว 1.8 แสนล้านของ “เซ็นทรัล” และพันธมิตรระดับโลก “ซิกน่า” เข้าซื้อกิจการ เซลฟริดเจส กรุ๊ปจากตระกูลเวสตัน อย่างสมบูรณ์แบบทำให้กลุ่มเซ็นทรัลก้าวสู่ผู้นำธุรกิจห้างสรรพสินค้าลักชัวรีระดับโลก ครอบคลุม 8 ประเทศในทวีปยุโรป และแฟลกชิปสโตร์บนทำเลที่ดีที่สุดของเมืองต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้างสรรพสินค้า เซลฟริดเจส บนถนนออกซ์ฟอร์ดใจกลางกรุงลอนดอน จุดหมายปลายทางแห่งการชอปปิงอันดับ 1 ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกจะต้องมาเยือน

กลุ่มเซลฟริดเจส ประกอบไปด้วยห้างสรรพสินค้ารวม18 แห่ง ภายใต้ 4 แบรนด์ ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า เซลฟริดเจส ในประเทศอังกฤษ, ห้างสรรพสินค้า บราวน์ โธมัส (Brown Thomas) และ อาร์นอตส์ (Arnotts) ในประเทศไอร์แลนด์ และห้างสรรพสินค้า ดี แบนคอร์ฟ (de Bijenkorf) ในประเทศเนเธอร์แลนด์และยังเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอันโดดเด่น ซึ่งดึงดูดลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลได้กว่า 30 ล้านคนต่อเดือน และมีการจัดส่งสินค้าไปยังกว่า 130 ประเทศทั่วโลก

“เซ็นทรัล” มั่งคั่งเกือบ 2 แสนล้าน

หากกล่าวถึงตระกูลธุรกิจเก่าแก่ “เซ็นทรัล” เป็นหนึ่งในนั้น เคลื่อนธุรกิจด้วยความแข็งแกร่งมาร่วม 8 ทศวรรษ สยายปีกต่อยอดการเติบโตสร้างอาณาจักรครอบคลุมอุตสาหกรรมหลักของประเทศและขยายเครือข่ายในต่างประเทศปักหลักฐานใหญ่ในภูมิภาคยุโรป รวมทั้งเวียดนาม ภายใต้เรือธงกลุ่มค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย โรงแรม รีสอร์ท ธุรกิจอาหาร ฯลฯ      

ทั้งนี้ นิตยสาร Forbes จัดอันดับให้ตระกูลจิราธิวัฒน์ อยู่ใน “TOP 5” มหาเศรษฐีไทยที่ร่ำรวยที่สุดในปี 2022 ด้วยระดับความมั่งคั่ง 1.06 หมื่นล้านดอลลาร์ 

โดยธุรกิจภายใต้อาณาจักร “จิราธิวัฒน์” เข้าจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ รวมความมั่งคั่งกว่า 192,532.33 ล้านบาท ขณะที่เงินปันผลทั้งตระกูล 1,394.93 ล้านบาท

เซ็นทรัลพัฒนาลงทุน 5 ปี 1.35 แสนล้าน

สำหรับกิจการเรือธงขนาดใหญ่ของกลุ่มเซ็นทรัลที่เข้าจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกอบด้วย บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยในรูปแบบ Retail-led mixed use ได้แก่ ธุรกิจศูนย์การค้าเซ็นทรัล ที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ มีมาร์เก็ตแคป 296,208 ล้านบาท (11 ม.ค.2567) 

ปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนา มีศูนย์การค้าภายใต้การบริหารงานทั้งหมด 39 โครงการ (ศูนย์การค้าเซ็นทรัล 37 แห่ง ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ ต่างจังหวัด 21 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ, ศูนย์การค้าเอสพละนาด 1 แห่ง และศูนย์การค้าเมกา บางนา ภายใต้กิจการร่วมค้าอีก 1 แห่ง) คอมมูนิตี้ มอลล์ 17 โครงการ มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 2.3 ล้านตารางเมตร

นอกจากนี้ ยังบริหารศูนย์อาหาร 33 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม 8 แห่ง โครงการที่พักอาศัย 30 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL และ BELLE GRAND RAMA 9 และโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN (ทาวน์โฮม) ESCENT AVENUE (โฮมออฟฟิศ) NINYA (บ้านแฝด) NIYAM (บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี) รวมทั้งโครงการแนวราบหลากหลายรูปแบบภายใต้แบรนด์ NIRATI และ BAAN NIRATI

ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเซ็นทรัลพัฒนามุ่งสู่โมเดลธุรกิจแห่งอนาคตเป็น “The Ecosystem for All” โดยมีธุรกิจ Retail เป็นแกนหลัก วาง 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ ศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ครบทุกองศาทั้ง Offline & Online ทั้ง shop-eat-work-play-stay-live ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 365 วัน ทุกที่ ทั่วประเทศ

ตามแผน 5 ปี (2566-2570) ลงทุนทุกธุรกิจรวมกว่า 135,000 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 25,000-30,000 ล้านบาท โดยมีทั้งหมดมากกว่า 200 โครงการ ครอบคลุม 30 เมืองในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ประกอบด้วย ศูนย์การค้า 50 แห่ง คอมมูนิตี้ มอลล์ 17 แห่ง ที่อยู่อาศัย 90 แห่ง โรงแรม 37 แห่ง อาคารสำนักงาน 13 แห่ง และพื้นที่ใหม่ๆ Flex Offices อีก 4 แห่ง จะทำให้มิกซ์ยูสเพิ่มขึ้นจาก 18 โครงการในปี 2566 เป็น 25 โครงการในปี 2570

ภายใน 5 ปี ทราฟฟิคในโครงการศูนย์การค้าของเซ็นทรัลพัฒนาจะเพิ่มขึ้นจาก 1.2 ล้านคนเป็น 1.8 ล้านคนต่อวัน หรือคิดเป็นการมาใช้บริการ 657 ล้านครั้งต่อปีทีเดียว ในปี 2567 เตรียมเปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครสวรร์, นครปฐม และกระบี่ 

แบรนด์ไทยเซ็นทาราผงาด

สำหรับ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL มาร์เก็ตแคป 58,725.00 ล้านบาท (11 ม.ค.2567) เจ้าของโรงแรมและรีสอร์ตแบรนด์สัญชาติไทย “เซ็นทารา” มุ่งสู่เป้าหมายภายในปี 2570 เครือเซ็นทาราจะขยายโรงแรมเพิ่มเป็นไม่น้อยกว่า 92 แห่ง มีจำนวนห้องพักรวม 19,348 ห้อง ใน 13 ประเทศ เป็นโรงแรมที่ลงทุนเองและร่วมลงทุน 23 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพัก 5,983 ห้อง ส่วนโรงแรมที่รับบริหาร 69 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพัก 13,365 ห้อง ก้าวสู่ “1ใน100เชนโรงแรมชั้นนำระดับโลก”  จากปัจจุบันอยู่อันดับ 150

นับเป็นการเติบโต 2 เท่าเทียบปัจจุบันที่มีโรงแรมเปิดให้บริการราว 50 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพัก 10,406 ห้อง แบ่งเป็นโรงแรมที่ลงทุนเองและร่วมลงทุน 19 แห่ง 5,051 ห้อง รับบริหาร 31 แห่ง 5,355 ห้อง

ปีที่ผ่านมา ได้เปิดบริการโรงแรม “เซ็นทารา แกรนด์ โอซาก้า” ขนาด 515 ห้องพัก ความสูง 33 ชั้น ตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านนัมบะ ถือเป็นโรงแรมภายใต้เครือเซ็นทาราแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่น จุดหมายอันดับ 1 ในใจของการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ

นอกจากนี้ เซ็นทารายังมีแผนเปิดสำนักงานในหัวเมืองสำคัญอย่างโฮจิมินห์ เซี่ยงไฮ้ และดูไบ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจในอนาคต รวมถึงมีแผนเปิดสำนักงานเพิ่มอีกแห่งที่โอซาก้าในปี 2567 เพื่อให้เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและต่อยอดธุรกิจในภูมิภาค ขณะเดียวกันยังตั้งเป้าลงนามสัญญาบริหารโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 10 แห่งในต่างประเทศ จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ อาทิ เวียดนาม และกาตาร์

ธุรกิจโรงแรมเครือเซ็นทาราวางแผนใช้เงินลงทุนระหว่างปี 2566-2568 ราว 11,800-19,900 ล้านบาท ปี 2566 ใช้งบ 3,400-5,800 ล้านบาท ปี 2567 ประมาณ 5,600-8,600 ล้านบาท และปี 2568 อีก 2,800-5,500 ล้านบาท

สำหรับแบรนด์ในเครือมีครอบคลุมทุกระดับตั้งแต่ เซ็นทารา มิราจ ระดับอัปสเกล  แบรนด์ เซ็นทารา แกรนด์ ระดับอัปเปอร์ อัปสเกล และแบรนด์ เซ็นทารา รีเซิร์ฟ ระดับลักชัวรี 

เซ็นทรัลรีเทลปูพรมทุกหัวระแหง 

บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC  มาร์เก็ตแคป 236,716 ล้านบาท (11 ม.ค.2567) ซึ่ง เซ็นทรัล รีเทล เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าหลากหลายประเภทผ่านรูปแบบและช่องทางที่หลากหลาย (Multi-format and Multi-category)ในประเทศไทย และมีการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยเป็นผู้นำในประเทศอิตาลีและเป็นหนึ่งในผู้นำในประเทศเวียดนาม เครือข่ายร้านค้าภายใต้แบรนด์ค้าปลีก 3,648 ร้านค้า (ณ 30 ก.ย.2566) อาทิ ห้างสรรพสินค้า, ร้านสะดวกซื้อ, ร้านขายสินค้าเฉพาะทาง, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต, พลาซ่า และการจำหน่ายสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม (Omnichannel) 

เซ็นทรัล รีเทล มีธุรกิจครอบคลุม 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.กลุ่มฮาร์ดไลน์ ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าตกแต่งและปรับปรุงบ้าน สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงาน หนังสือ และe-Bookภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ไทวัสดุ บ้าน แอนด์ บียอนด์/บีเอ็นบี โฮม เพาเวอร์บาย ออฟฟิศเมท บีทูเอส เมพ และเหงียนคิม 2.กลุ่มฟู้ด ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภค และสินค้าที่มักพบได้ทั่วไปในร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ท็อปส์ แฟมิลี่มาร์ท บิ๊กซี /GO!ลานชี มาร์ท ท็อปส์ มาร์เก็ต เวียดนาม และมินิ โก (go!) 

3.กลุ่มแฟชั่นซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ซูเปอร์สปอร์ต และ เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป 4.กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งมุ่งเน้นการให้เช่าพื้นที่ สำหรับร้านค้าของกลุ่มบริษัทฯ และร้านค้าและบริการของบุคคลภายนอก เช่น โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ท็อปส์ พลาซ่า และ บิ๊กซี /GO!เวียดนาม และ 5.กลุ่มเฮลธ์แอนด์เวลเนส ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายและให้บริการด้านสุขภาพคนและสัตว์เลี้ยง เช่น ท็อปส์แคร์ ท็อปส์วีต้า และ เพ็ทแอนด์มี 

โดย ณ 30 มิ.ย.2566 ขุมพลัง “เซ็นทรัล รีเทล” ดำเนินธุรกิจใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ทั้งหมด 59 จังหวัด ประเทศเวียดนาม ทั้งหมด 41 จังหวัด และประเทศอิตาลี ในเมืองหลักๆ ทั่วประเทศ