ศึกค้าปลีกวัสดุก่อสร้างตกแต่งบ้านระอุ 'ไทวัสดุ-โฮมโปร’เร่งสยายปีก

ศึกค้าปลีกวัสดุก่อสร้างตกแต่งบ้านระอุ  'ไทวัสดุ-โฮมโปร’เร่งสยายปีก

เริ่มยกใหม่สมรภูมิค้าปลีกสินค้าวัสดุก่อสร้างบ้านและตกแต่งบ้านปี 2567 ทิศทางการแข่งขันยังคงร้อนระอุ! จากผู้ประกอบการรายใหญ่ พร้อมช่วงชิงทำเลของในการขยายสาขา เพื่อขยายฐานลูกค้าให้มากที่สุด

โดยปีที่ผ่านมา “ไทวัสดุ” จากยักษ์ใหญ่ เซ็นทรัล รีเทล ขยายสาขามากที่สุดถึง 14 สาขา สร้างสถิตินิวไฮ เปิดสาขามากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งมา 13 ปี รวมทั่วประเทศมี 79 สาขา

ส่วนผู้นำตลาดอย่าง “โฮมโปร” จากกลุ่มแลนด์แอนด์เฮ้าส์  เบอร์ต้นของอสังหาริมทรัพย์ไทย ขยายสาขาทั้งโฮมโปรและเมกาโฮม 11 สาขา รวมมีสาขาทั้งหมด 127 สาขา ในการรุกตลาดในไทยมายาวนานร่วม 28 ปีแล้ว

สำหรับ โฮมโปร ได้ผุดโมเดลธุรกิจใหม่ ไฮบริด นำร่องภูเก็ต (เจ้าฟ้า) พื้นที่ 10,594 ตร.ม. ใช้ลงทุน 700 ล้านบาท สาขาไฮบริด รวมโฮมโปรและเมกาโฮม มาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน โดยโฮมโปร เป็นศูนย์รวมความต้องการเรื่องบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ ของตกแต่งบ้าน ครบวงจรสินค้า 5 หมื่นรายการ เมกาโฮม ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง สำหรับกลุ่มอสังหาฯ สาขานี้วางเป้าหมายเป็น “ศูนย์รวมงานบ้านและงานช่าง เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า”

รักพงศ์ อรุณวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มนักลงทุนสัมพันธ์ กลยุทธ์ และความยั่งยืนองค์กร บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวไม่สูง หรืออยู่ในภาวะค่อนข้างทรงตัวจากปัจจัยทั้งภายในภายนอกประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์สงครามอิสราเอล และรัสเซีย อาจกระทบต่อซัพพลายเชน กำลังซื้อของโลก รวมถึงผลกระทบต่อการส่งออกของไทย แต่มีปัจจัยบวกจากรัฐบาลใหม่ที่นโยบายเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ 

โฮมโปร มุ่งผลักดันยอดขายเติบโต พร้อมเปิดสาขาใหม่ จัดกิจกรรมการขายแบบใหม่ วางแผน 3-5 ปี ข้างหน้า จะมีสาขาในประเทศไทยครบ 150 สาขา หรือเปิดเพิ่ม 23 สาขาใหม่ เฉลี่ย 5-7 สาขาต่อปี ทั้งโฮมโปร และเมกาโฮม ในปี 2567 เปิดสาขาใหม่ 5 สาขาของเมกาโฮม ส่วนโฮมโปร จะมีการพิจารณาอีกครั้งภายใต้งบลงทุนรวม  5,000-6,000 ล้านบาท

“การแข่งขันในตลาดมีคู่แข่งเข้ามาเปิดสาขาใหม่ในหลายทำเล ถือเป็นเรื่องปกติของการแข่งขัน ซึ่งการขยายสาขาของโฮมโปรในแต่ละทำเลสร้างการเติบโตที่ดีมาตลอด”

อีกกลยุทธ์สำคัญในการทำตลาดของบริษัทยังมุ่งนำเสนอสินค้าและบริการให้ครอบคลุมทุกความต้องการของกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ โฮมโปร เน้นความหลากหลายและตรงโจทย์ลูกค้า ซึ่งกลุ่มสินค้าเฮ้าส์แบรนด์สามารถสร้างผลกำไรที่ดี โดยโฮมโปร มีสินค้าเฮ้าส์แบรนด์รวม 36 แบรนด์ จำนวน 1.5 หมื่นรายการ

ในสิ้นปี 2566 โฮมโปร มีสินค้าเฮ้าส์แบรนด์สัดส่วน 21.5% ของสินค้าทั้งหมด และเมกา โฮม มีสัดส่วน 19.2% ของสินค้าทั้งหมด ส่วนแผนระยะกลาง จะเพิ่มสัดส่วนให้ได้ 25% ทั้ง โฮมโปร และ เมกาโฮม ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า

อีกทั้งจะขยายสินค้ากลุ่ม อีโค โปรดักส์ ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วน 48.1% ของยอดขายรวม จะเพิ่มเป็น 50% ภายในปี 2568 รองรับตลาดสินค้าอีโค โปรดักส์กำลังเติบโตในไทย พร้อมวางแนวทางองค์กรไปสู่ความยั่งยืน ทั้งการใช้พลังงาน การขนส่ง สินค้า และการลดปล่อยคาร์บอน เพื่อนำพาองค์กรก้าวไปสู่ Net Zero ภายในปี 2593

โฮมโปร ประเมินว่า ยอดขายของโฮมโปรในสิ้นปี 2567 จะขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย หรือ อาจมากกว่าจีดีพีเล็กน้อย รักษาความเป็นผู้นำค้าปลีกสินค้าวัสดุก่อสร้างบ้านและตกแต่งบ้านได้ต่อไป!

สุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า ไทวัสดุ เร่งขยายสาขาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่มากยิ่งขึ้นตามดีมานด์ความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านที่เติบโต ด้วยอานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัว ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ

ปัจจุบัน ไทวัสดุ มีสาขารวมทั่วประเทศ 79 แห่ง ครอบคลุมทุกโมเดลของไทวัสดุ ทั้ง Red Format ไทวัสดุรูปแบบมาตรฐาน และ White Format ที่ผนึกความแข็งแกร่งระหว่างไทวัสดุ และบีเอ็นบี โฮม รวบรวมสินค้าทั้งวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านอย่างครบวงจร

ไทวัสดุ ยังสานแนวคิด “Green & Sustainable Retail” มุ่งเป็นองค์กรค้าปลีกต้นแบบด้านความยั่งยืนแห่งเอเชีย ผลักดันนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเข้ากับการดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยร้านไทวัสดุมีการติดโซลาร์รูฟในทุกสาขา นำรถบรรทุกไฟฟ้าพลังงานสะอาดหรือรถบรรทุกที่ใช้ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน 100% เข้ามาใช้ในการขนส่งสินค้าจากคลังสินค้าไปยังสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ

“ไทวัสดุ มุ่งเชื่อมต่อความต้องการไลฟ์สไตล์อื่นๆ ที่ครบครันให้ลูกค้า ด้วยการผนึกกำลังกับบีเอ็นบี โฮม ให้บริการสินค้าตกแต่งบ้าน การเปิดสาขาออโต้วัน ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร ภายในพื้นที่ไทวัสดุหลายๆ แห่ง เพื่อดูแลรถยนต์แบบมืออาชีพ ทั้งรองรับคนยุคใหม่ด้วยช่องทางออนไลน์ ในปี 2567 ประสบการณ์เหล่านี้ยังมีอย่างต่อเนื่อง”