จากเกษตรกรไร่สัปปะรด สู่นักธุรกิจอาหารแปรรูปส่งออกมูลค่าพันล้าน

จากเกษตรกรไร่สัปปะรด สู่นักธุรกิจอาหารแปรรูปส่งออกมูลค่าพันล้าน

อุตสาหกรรมสับปะรด มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศปีละกว่า 20,000 ล้านบาท

การเกษตร ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการหล่อเลี้ยงชีวิตให้กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันมีพืชเศรษฐกิจที่ส่งเสริมอาชีพ ทำเงินให้กับคนในประเทศเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ ไม่ใช่หมายถึงการส่งออกพืชเหล่านั้นแบบสด ๆ เพียงอย่างเดียว แต่หลายชนิดยังถูกนำมาแปรรูปเพื่อสร้างประโยชน์และเม็ดเงินได้อีกมากมาย

รวมไปถึง อุตสาหกรรมสับปะรดที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศปีละกว่า 20,000 ล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสับปะรดกระป๋องซึ่งประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับต้น ๆ ของโลก

 

วันนี้มีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าของบริษัท เถกิงอุตสาหกรรมสัปปะรด จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกผลไม้แปรรูป

คุณประทุมภรณ์ กิจเถกิง (คุณหมู) เริ่มจากการเป็นเกษตรปลูกสับปะรด เมื่อมีผลผลิตมากจนไม่สามารถกระจายสินค้าได้ทัน จึงมีความคิดอยากจะส่งออกสับปะรดกระป๋อง โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ได้ลงทุนซื้อเครื่องจักรต่าง ๆ ในการผลิต

จากเกษตรกรไร่สัปปะรด สู่นักธุรกิจอาหารแปรรูปส่งออกมูลค่าพันล้าน

ด้วยความที่ยังใหม่ในวงการอุตสาหกรรม และประสบการณ์ยังไม่มากพอ จึงทำให้ขาดทุนในช่วงแรกเริ่ม แต่คุณหมูไม่ยอมแพ้ และมีความเชื่อมั่นว่า “เราเกิดและเติบโตมากับสับปะรด เป็นสิ่งที่เรารู้จักดีที่สุด และมีเป้าหมายมุ่งมั่นที่จะทำ ฉะนั้นเชื่อว่าความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกล”

นับหนึ่งใหม่กับสับปะรด

ด้วยความที่ไม่ยอมแพ้ คุณหมูเริ่มแปรรูปด้วยการทำไส้สับปะรดกวนขาย เป็นระยะเวลา 4 ปี จนได้เงินทุนตั้งต้นใหม่อีกครั้ง โดยที่ยังมีความมุ่งมันในการทำสับปะรดกระป๋อง ระยะแรกเริ่มยังไม่ได้ลงทุนเครื่องจักรใหม่

จึงทำสับปะรดกระป๋องแบบ Handmade ซึ่งได้ผลตอบรับเป็นอย่างดีในตลาด Middle East และตั้งใจที่จะขยายตลาดการส่งออก จึงได้วางแผนลงทุนและได้รับการสนับสนุนจากทางธนาคารไทยพาณิชย์ ที่เล็งเห็นถึงศักยภาพ ทำให้ยอดขายเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด

จากเกษตรกรไร่สัปปะรด สู่นักธุรกิจอาหารแปรรูปส่งออกมูลค่าพันล้าน

จนปัจจุบันนี้ส่งออกผลไม้แปรรูปไปทั่วโลก ด้วยประสบการณ์จากการลงทุนครั้งแรก จึงได้วางแผนธุรกิจ ปรับการใช้ต้นทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการเพิ่มไลน์การผลิตอย่างครบวงจรของการแปรรูปผลไม้

จากแต่ก่อนใช้เพียงแค่ส่วนเนื้อหั่นแว่น และเนื้อส่วนอื่น ๆ ต้องทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ และเพื่อเป็นการจัดการตามแนวทาง Zero Waste จึงได้ปรับใช้สับปะรดในทุก ๆ ส่วน

เช่น เนื้อสับปะรดแบบเต็มแว่น  สับปะรดชิ้นใหญ่ หรือ ชิ้นเต๋า และรูปแบบอื่น ๆ อีกมากมาย รวมถึง น้ำสับปะรดเข้มข้น จากแกนสับปะรด

ปัจจุบันนี้ ได้รับซื้อผลผลิต และเป็นพันธมิตรกับชาวไร่สับปะรด 550 สวนจากทั่วประเทศ เป็นการส่งเสริมอาชีพสู่ชุมชน ส่งเสริมอาชีพ ให้ความเชื่อมั่นแก่เกษตรกรในการปลูก

แต่ด้วยระยะเวลาเก็บเกี่ยวสับปะรดมีช่วงเวลา โดยมีช่วงที่ผลผลิตมากที่สุดคือ เดือนตุลาคม ถึง เดือนพฤษภาคม คุณหมูจึงหาพืชผลอื่น ๆ มาเพื่อไม่ให้ขาดช่วงการผลิต ได้แก่ ข้าวโพด มะพร้าว เป็นต้น


จุดแข็งของอาหาร/ผลไม้กระป๋องคือ “บริโภคเมื่อไรก็ได้ อายุผลิตภัณฑ์เก็บได้ยาวนาน สามารถกักตุนบริโภคในยามวิกฤตได้ เช่นสงคราม หรือช่วงโรคระบาด”

นอกจากนี้การปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย อย่างการตลาดออนไลน์มีส่วนช่วยทำตลาดได้อย่างมาก ให้เป็นที่รู้จักของต่างประเทศ และสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยตรง รวมไปถึงการปรับตัวในภาคธุรกิจที่คำนึงถึง ESG

จากเกษตรกรไร่สัปปะรด สู่นักธุรกิจอาหารแปรรูปส่งออกมูลค่าพันล้าน

โดยบริษัทเถกิงอุตสาหกรรมสัปปะรด จำกัด มีการติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อนำพลังงานจากธรรมชาติมาใช้ในโรงงาน รวมถึงการดูแลสวัสดิการความเป็นอยู่ของพนักงาน ให้ทำงานได้อย่างมีความสุข และมีห้องพยาบาลประจำโรงงาน

หรืออย่างช่วงโควิด-19 ระบาด ได้จัดซื้อวัคซีนสำหรับพนักงานทุกคน มีกิจกรรมและอบรมพนักงานอย่างต่อเนื่อง และดำเนินธุรกิจตามอย่างมาตรฐานสากลมากมายอย่างเช่น GMP , HACCP , ISP 9001 , BRC และ Halal เป็นต้น

สิ่งสำคัญของการทำธุรกิจที่คุณหมูฝากเอาไว้คือ

1. เงินทุน หากเรามีเงินทุนก็จะสามารถทำธุรกิจต่อยอดได้อย่างครบวงจร

2. มีความซื่อสัตย์ ทั้งกับลูกค้า และกับพันธมิตร รวมไปถึงธนาคาร เช่น ใช้เงินเพื่อการลงทุนในธุรกิจเท่านั้น ไม่นำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายอื่น ๆ

3. เจ้าของต้องมาดูแลธุรกิจด้วยตัวเอง ต้องมีความรู้มีประสบการณ์จริง และสุดท้าย

4. มีความเชื่อมั่น ไม่ยอมแพ้ “ไม่มีนักธุรกิจคนไหน ไม่มีบาดแผล” คุณหมูกล่าวอย่างภาคภูมิใจที่สามารถต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อ จนมาเป็นบริษัท เถกิงอุตสาหกรรมสับปะรด จำกัด ที่อยู่มาอย่างยั่งยืนถึง 30 ปี.