บิ๊กดีล! ‘DIL’ ควง ‘เทมาเส็ก’ พันธมิตรการเงิน ลงทุนร้าน 'เคเอฟซี' ในไทย
เจาะเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงบนสังเวียนไก่ทอดหมื่นล้านบาท! เมื่อทุนอินเดีย DIL ควง "เทมาเส็ก" มาเซ็นสัญญาลงทุนในอาร์ดี" แฟรนไชส์ซีขั้วที่ 3 ซึ่งโอกาสตลาดร้านอาหาร QSR ไก่ทอดในไทยอีก 10 ปี ยังขยายร้านได้อีก 2 เท่าตัว!
“เคเอฟซี”(KFC)ร้านอาหารบริการด่วนหรือ QSR ประเภทไก่ทอดเบอร์ 1 ของโลก ที่ทำตลาดในประเทศไทย กำลังจะมีแฟรนไชส์ซีรายที่ 3 อย่าง Devyani International DMCC บริษัทในเครือ Devyani International Limited (DIL) ที่ได้ดำเนินการ “เซ็นสัญญาลงทุนในบริษัทอาร์ดี” พร้อมเคลื่อนทัพธุรกิจร้านไก่ทอด จากที่มี “ซีอาร์จี” และ “ไทยเบฟ” 2 รายใหญ่รุกตลาดอยู่
ทว่า เบื้องหลังบิ๊กดีล มีความน่าสนใจมากมาย กรุงเทพธุรกิจ ชวนเกาะติดการเปลี่ยนแปลงบนสังเวียนไก่ทอดหมื่นล้านบาท! ครั้งนี้
บริษัท DIL ในประเทศอินเดีย เป็นกลุ่มบริหารจัดการขนาดใหญ่ในสายธุรกิจ QSR หรือ Limited Service Restaurants : LSR ในประเทศอินเดีย เนปาล และไนจีเรีย โดยมีร้านกว่า 1,350 สาขา ใน 240 เมือง ทั่วโลก ส่วนแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอ โดยเฉพาะฐานทัพตลาดอินเดีย คือเป็นผู้บริหารร้านเคเอฟซี พิซซ่า ฮัท ของ “ยัม” ยักษ์ใหญ่อาหารระดับโลกอยู่แล้ว รวมถึงบริหารร้าน “คอสต้า คอฟฟี่”(Costa Coffee) ด้วย
- ไม่มาเดี่ยว ‘DIL’ ควง “เทมาเส็ก โฮลดิงส์” ลงทุน
ขณะที่ DIL ดำเนินการเซ็นสัญญาลงทุนใน “อาร์ดี” หรือ Restaurants Development Co., Ltd.(RD) ในประเทศไทย ไม่ได้ลุยเดี่ยว แต่มีการควงพันธมิตรอย่าง “เทมาเส็ก โฮลดิงส์”(CAMAS) กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์มาเป็น “พันธมิตรทางการเงิน”(Financial Partner)ด้วย
สำหรับโครงสร้างธุรกรรม หรือดีลครั้งนี้ DIL(อินเดีย) จะถือหุ้น 51% และ “เทมาเส็ก โฮลดิงส์” ถือหุ้น 49% ผ่านบริษัท Devyani International DMCC(ดูไบ) เพื่อไป “ซื้อกิจการ”หรือถือสิทธิ์ในกิจการ( Acquiring) โดยผ่านบริษัทต่างๆในประเทศไทย ที่มีทั้งรูปแบบ “โฮลดิง” หรือบริษัทที่ลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่การเงิน ได้แก่ White Snow Company Limited(ไทย) ซึ่งมีชื่อของ “นายอานุช โลเฮีย” เป็นกรรมการ บริษัทมีทุนจดทะเบียน 100,000 บาท และจัดตั้งบริษัทเมื่อเดือนมิถุนายน 2566, Blackbriar Co., Ltd.(ไทย) บริษัทมีทุนจดทะเบียน 4 ล้านบาท , Yellow Palm Co., Ltd.(ไทย) ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท และบริษัทที่รับบททำงานหรือ Operating คือ Resturuants Development Co., Ltd(RD) ที่เป็นผู้บริหารร้านเคเอฟซี 274 สาขา ในฐานะ 1 ใน 3 แฟรนไชส์ซีนั่นเอง
ทั้งนี้ บริษัท White Snow Company Limited(ไทย) ยังมีบริษัท นีร์วาน (ประเทศไทย) จำกัดหรือ Nirwan(Thailand)Limited(ไทย) ถือหุ้น 51% โดยบริษัท นีร์วานฯ มีทุนจดทะเบียน 2.5 ล้านบาท เข้ามาอยู่ในฐานะพันธมิตรท้องถิ่นและมีบทบาทเป็นบริษัท Acquiring
- ตระกูล “โลเฮีย” อภิมหาเศรษฐีหมื่นล้าน!!!
ที่น่าสนใจคือบริษัท นีร์วานฯ มีนายอานุช โลเฮีย เป็นกรรมการ ร่วมกับนางอาราธนา โลเฮีย ชาร์มา และนายสยามกุมาร ซิงห์
ตระกูล “โลเฮีย” ถือเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้าน ผู้ครองอาณาจักรปิโตรเคมี มีธุรกิจในกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ซึ่งหากผู้อ่านติดตามข่าวสังคม จะเห็นว่าช่วงที่ผ่านมามีการแต่งงานของมหาเศรษฐีอินเดียสุดอลังการ มีนักแสดง เซเลบริตีชั้นนำของเมืองไทยบินไประเทศอินเดียเพื่อร่วมงานกันไม่น้อย
นอกจากนี้ ชื่อของนางอาราธนา โลเฮีย ชาร์มา แวดวงธุรกิจย่อมรู้จัก เพราะเธอเป็นรองประธาน บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกเช่นกัน
- ส่องแหล่งเงินทุนบิ๊กดีล
สำหรับการพิจารณาและการให้ทุนในครั้งนี้เป็นวงเงิน 4,580 ล้านบาท หรือประมาณ 128.9 ล้านดอลลาร์(คิดที่อัตราแลกเปลี่ยน 35.5 บาทต่อดอลลาร์) หรือ 1.066 หมื่นล้านรูปีอินเดีย(อัตราแลกเปลี่ยน 1 บาทต่อ 2.33 รูปีอินเดีย)
โดยในส่วนของผู้ถือหุ้นจาก DIL วงเงิน 1,470 ล้านบาท และส่วนของเทมาเส็ก 1,410 ล้านบาท พันธมิตรท้องถิ่นไทย 50 ล้านบาท และเป็นการกู้ยืมธนาคารในประเทศ 1,650 ล้านบาท
- ทุนอินเดียมองไทยมีโอกาสทองธุรกิจ
สำหรับการดำเนินการเซ็นสัญญาลงครั้งนี้ “ทุนอินเดีย” มองศักยภาพ และโอกาสในประเทศไทยดังนี้ ไทยเป็นประเทศแกร่งในภูมิภาคอาเซียน ชนชั้นกลางมีรายได้ ค่าเงินมีเสถียรภาพ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)แข็งแกร่งจากทุกเสาหลักเศรษฐกิจ เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ การบริโภคสัตว์ปีกมีขนาดใหญ่สุดจากประเภทเนื้อสัตว์ทั้งหมด “เคเอฟซี” เป็นผู้นำตลาด SQR มีร้านมากกว่า 1,000 สาขา
ทั้งนี้ ในตลาดร้านอาหาร QSR ไก่ทอดมีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท สัดส่วน 50% ของ QSR ทั้งหมด และเคเอฟซีมีส่วนแบ่งตลาด 89-90% ในตลาดไก่ทอด นอกจากนี้ “อาร์ดี” มีการดำเนินธุรกิจและทีมงานที่แข็งแกร่ง มีร้านอยู่ในทำเลที่ดี เป็นสินทรัพย์ที่ดี คนไทยมีไลฟ์สไตล์บริโภคอาหารนอกบ้านสูง ตลาดร้านอาหารมีการพัฒนาที่ดี และการเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ
ยิ่งดูลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย พบว่า 45% ของประชากรไทย อาศัยไม่ห่างจากร้านเคเอฟซี หรืออยู่ในระยะ 5 กิโลเมตร(กม.) ซึ่งถือเป็น catchment area ของธุรกิจร้านอาหาร เมื่อมองขุมทองแห่งโอกาส ใน 10 ปีข้างหน้า สามารถเพิ่มจำนวนร้านหรือสาขาได้อีก “2 เท่าตัว” การเปลี่ยนพฤติกรรมสั่งอาหารออนไลน์ การเพิ่มขึ้นของสาขาไดรฟ์ทรู สาขาในสถานีบริการน้ำมัน(ปั๊ม) ล้วนดึงดูดการลงทุน เป็นต้น
- เคเอฟซี มีร้านมากกว่า QSR เบอร์ 1 โลก “แมคโดนัลด์” 4 เท่า!
นอกจาก “เคเอฟซี” เป็นผู้นำธุรกิจร้านไก่ทอดรวมถึงร้าน QSR ในไทยแล้ว ที่น่าสนใจคือการเปิดร้านหรือมีจำนวนสาขาเหนือกว่า “คู่แข่ง” รายสำคัญอย่าง “แมคโดนัลด์” ซึ่งเป็นฟาสต์ฟู้ดเบอร์ 1 ของโลก โดยจำนวนร้านต่างกันถึง 4 เท่าตัว ซึ่งในปี 2566 เคเอฟซี มีร้านให้บริการลูกค้า 1,009 สาขา และแมคโดนัลด์มี 245 สาขา
ระยะเวลา 7 ปี (2559-2565)เคเอฟซีเปิดร้านเพิ่มรวม 443 สาขา แมคโดนัลด์เปิดร้านเพิ่มขึ้น 7 สาขา เชสเตอร์มี 202 สาขา เปิดร้านเพิ่ม 4 สาขา เบอร์เกอร์คิงมีร้าน 116 สาขา เปิดร้านเพิ่ม 50 สาขา บอนชอน มีร้าน 99 สาขา เปิดร้านเพิ่ม 74 สาขา และเท็กซัส ชิคเก้นมีร้าน 98 สาขา เปิดร้านเพิ่ม 89 สาขา(ที่มา : Euromonitor, RDCL)
ด้าน “อาร์ดี” บริษัทมีร้านเคเอฟซี ณ 30 กันยายน 2566 จำนวน 274 สาขา โดย 7 ปีที่ดำเนินธุรกิจ มีการเปิดร้านใหม่ 147 สาขา ในส่วนของร้านให้บริการในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 113 สาขา ภาคใต้ 94 สาขา ภาคอีสาน 47 สาขา และภาคตะวันตก 20 สาขา ปี 2566 ทำผลงานรายได้แข็งแกร่งที่ 5,176 ล้านบาท และแบรนด์ทำกำไร 14-15% หากไปดูข้อมูลทางการเงินของบริษัทยังพบการ “ขาดทุน” ลดลงอย่างมาก ปี 2565 ขาดทุนกว่า 37 ล้านบาท จากปี 2564 ขาดทุนกว่า 230 ล้านบาท
ใดๆก็ตาม ดีลนี้จะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2567