'พักเที่ยง' ชีวิตรันทดของชาวออฟฟิศ

'พักเที่ยง' ชีวิตรันทดของชาวออฟฟิศ

เคยไหมที่ต้องนำอาหารมื้อกลางวันมากินบนโต๊ะทำงานพร้อมกับนั่งทำงานไปด้วย หรือเลือกกินเมนูง่าย ๆ แบบเร่งด่วนเพื่อรองท้องไปก่อน การดื่มกาแฟแทนมื้ออาหารเช้าไปเลย หรือแม้กระทั่งการเลื่อนเวลากินข้าวกลางวันออกไปก่อน เพื่อที่จะได้ทำงานให้เสร็จทันเวลา

ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่เหล่าพนักงานเลือกเพื่องานมากกว่าเพื่อตัวเอง จนทำให้หลายคนขาด 'มื้ออาหารที่มีคุณภาพ' จนแทบจำไม่ได้แล้วว่าได้มี 'พักเที่ยง' ที่ดี ๆ กับคนอื่นเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไร

หาก 'อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน' เช่นเดียวกัน 'อาหารมื้อกลางวัน' ก็เป็นดั่งมื้อที่ขับเคลื่อนพลังงานช่วงบ่ายให้มีเรี่ยวแรงต่อไปตลอดทั้งวัน ดังนั้น การพักกลางวันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

พักเที่ยง ทานไปทำงานไป

จากการสำรวจที่จัดทำโดย Sharebite ร่วมมือกับ Wakefield Research เพื่อศึกษาว่าพนักงานมีความคิดอย่างไรกับช่วงเวลาพักกลางวัน พบว่า พนักงานกว่า 97% คิดว่าการพักกลางวันจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น แต่ความเข้าใจถึงคุณประโยชน์ดังกล่าวกลับไม่เพียงพอที่จะโน้มน้าวการกระทำของพนักงานทั้งหมดได้

เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่กว่า 43% ยังคงทำงานหนักและยุ่งเกินไปจนลืมเวลาพักกลางวัน ในขณะที่ 39% เลือกที่จะข้ามเวลาพักกลางวันและงดอาหารกลางวันเพื่อใช้เวลาทำงานให้เสร็จโดยเร็วที่สุด

นอกจากนี้ จากการสำรวจยังพบว่า พนักงานกว่า 62% เลือกที่จะกินอาหารกลางวันหน้าจอคอมที่โต๊ะและทำงานควบคู่ไปด้วย เพราะคิดว่าการทำงานโดยไม่หยุดพักหรือลุกจากโต๊ะทำงานจะสะท้อนว่าเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน รวมถึงต้องการให้งานเสร็จโดยเร็วที่สุดด้วย

ด้วยสาเหตุที่หลากหลายจึงกลายเป็นชนวนให้พนักงานแต่ละคนเลือกที่จะละเลยช่วงเวลาพักกลางวัน อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง คนทำงานทุกคนล้วนมีทรัพยากรทางร่างกายและจิตใจที่จำกัด เช่นเดียวกับแบตเตอรี ที่เมื่อใดก็ตามที่พลังงานเหลือน้อย ร่างกายก็จะรู้สึกหมดพลัง หมดแรง และเต็มไปด้วยความเครียดและความเหนื่อยล้า จึงจำเป็นที่จะต้องชาร์จและฟื้นฟูร่างกายกลับมาด้วยการ 'ไปพัก' เพราะการทำงานทั้งที่พลังงานเหลือน้อยก็ล้วนแต่สร้างผลเสียต่อร่างกายมากขึ้น ทั้งยังกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลงอีกด้วย

ขอแค่ 'บอส' พัก พนักงานก็พักได้อย่างสบายใจ

ไม่เพียงแต่กับพนักงานเท่านั้น แต่ 'หัวหน้างาน' หรือ 'บอส' ก็ต้องรู้จักการหยุดพักเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่ทำให้พนักงานกล้าที่จะออกมาพักกลางวันได้อย่างไม่ต้องเกิดความกังวลใดๆ เนื่องจากพนักงานโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่มักเกิดความลังเลในการพักกลางวัน เพราะกังวลว่าหัวหน้าจะมองไม่ดี หากพวกเขาเลือกไปกินอาหารก่อนหัวหน้างานตนเอง

ในฐานะเจ้านายหรือหัวหน้างาน ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการนำพนักงานมารวมกัน สร้างมิตรภาพร่วมกัน และสื่อสารความสำคัญของการพักกลางวันให้พนักงานทำตามได้นั้น วิธีการที่ดีที่สุดในการส่งเสริมการพักกลางวันในที่ทำงานคือ การชวนพนักงานไปพักกินอาหารกลางวันด้วยตนเอง ยิ่งหัวหน้างานมีความใส่ใจให้การสนับสนุนการพักกลางวันมากเพียงใด ก็ยิ่งทำให้พนักงานเห็นถึงความสำคัญของช่วงเวลานี้มากขึ้นตามมาด้วย

ซึ่งตรงกับผลการสำรวจที่ว่า พนักงานกว่า 90% มีแนวโน้มที่จะอยู่กับบริษัทเดิมได้นานขึ้น หากหัวหน้าสนับสนุนให้พนักงานได้ใช้เวลาพักกลางวันอย่างเต็มที่ และไม่ปล่อยให้โหมงานหนักจนล่วงเลยเวลาพักกลางวันไป

แม้จะดูเป็นสิ่งจูงใจเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่อาหารกลางวันฟรีก็สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างมาก ทั้งยังเป็นสิทธิประโยชน์ยอดนิยมที่เหล่าพนักงานใช้ในการพิจารณาตัดสินใจเข้าทำงานกับบริษัทใด ๆ รวมถึงดึงดูดให้พนักงานอยากเข้าบริษัทบ่อยขึ้นในยุคที่คนทำงานยังสามารถ Work From Anywhere ได้อีกด้วย

งีบหลับพักเที่ยงมีประโยชน์กว่านั่งเม้ามอย

การนอนหลับพักผ่อนในเวลาเที่ยงอาจพูดได้ว่าเป็นสิ่งที่ห่างหายไปจากชีวิตของเหล่าบรรดาชาวออฟฟิศเลยก็ว่าได้ พอจะงีบหลับในตอนกลางวันแต่ละที ก็กังวลกลัวโดนเจ้านายบ่นบ้างหรือเพื่อนร่วมงานอาจมองไม่ดีบ้าง แต่คุณรู้ไหมว่ามีบางประเทศให้ความสำคัญในการที่จะให้พนักงานงีบหลับในช่วงเวลาเที่ยงเป็นอย่างมากเพราะการนอนหลับพักเที่ยงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ แต่ก็ต้องไม่มากเกินไป

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเพียงหาเวลางีบหลับตอนเที่ยงประมาณ 10 -20 นาทีก็เพียงพอต่อการช่วยให้คุณทำงานดีขึ้นได้แล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่าประโยชน์จากการนอนหลับพักผ่อนในเวลากลางวันมีอะไรบ้างจะได้ไปอธิบายให้เจ้านายฟังได้

1. การนอนตอนเที่ยงช่วยให้คุณมีความจำดีขึ้น มีการทดลองจากต่างประเทศโดยแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่มให้ทำแบบทดสอบแข่งกัน กลุ่มแรกให้นอนงีบหลับเป็นเวลา 10-20 นาที อีกกลุ่มไม่ได้นอน ผลปรากฎว่ากลุ่มที่ได้นอนหลับสามารถทำแบบทดสอบได้ดีกว่าจึงเป็นผลสรุปว่าการนอนในระยะสั้นๆสามารถฟื้นฟูสมองจากความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดีแต่ก็ไม่ควรนอนเกิน20นาทีนะเพราะหากเกินจะเป็นการทำให้ประสิทธิ์ภาพในการคิดน้อยลงแทน

2. ช่วยเพิ่มประสิทธิ์ภาพให้ทำงานดีขึ้น มีการเปิดเผยจากองค์กรนาซาว่าการนอนหลับเพียง 26 นาที สามารถเพิ่มประสิทธิ์ภาพในการทำงานได้ถึง 34 % และช่วยทำให้ร่างกายมีความตื่นตัวได้อีกถึง 54 % พวกเขาจึงแนะนำเหล่านักบินให้พักผ่อนตอนกลางวันก่อนออกปฎิบัติภารกิจ โดยการงีบหลับกลางวันมีส่วนอย่างมากในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง โดยพบว่าเซลล์ประสาทจะมีการทำงานได้ดีขึ้นเมื่อได้พักในระยะเวลาสั้น จึงสามารถทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานได้ดีขึ้น

3. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและลดความดันเลือด นักวิทยาศาสตร์ ได้กล่าวไว้ว่า คนที่หาเวลางีบหลับในตอนกลางวันเพียง 3ครั้ง / สัปดาห์ ช่วยลดอัตตราการเสียชีวิตจากการเป็นโรคหัวใจได้และยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากผู้ที่ได้พักในเวลาสั้นๆ ระหว่างวันจะมีระดับความเครียดที่ลดลง โดยมีสถิติอย่างเป็นทางการว่า การงีบหลับสามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบอย่างมีนัยสำคัญ

4 .ผ่อนคลายความเครียด มีการทดลองพบว่า การงีบหลับในตอนกลางวันสามารถช่วยลดระดับความเครียดที่เกิดจากการทำงานระหว่างวัน นอกจากนี้ ยังพบว่าอาสาสมัครที่ได้งีบหลับสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นเมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ตึงเครียดในแบบเดียวกัน

5. ช่วยลดความอ้วนได้ การงีบหลับช่วยให้น้ำตาลในเลือดกลับมาสู่ภาวะปกติและลดอาการอยากน้ำตาลลงได้เพราะเมื่อร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้นจะไม่รู้สึกอยากน้ำตาล ลองสังเกตุได้จากคนที่นอนดึกหรือนอนไม่มีเพียงพอจะชอบอยากทานอะไรหวานๆเนื่องจากมีค่าน้ำตาลในเลือดไม่เพียงพอจึงทำให้อยากของหวานจนอ้วนขึ้นเรื่อยๆ

ในเมื่อการงีบหลับมีผลดีขนาดนี้ชาวออฟฟิตก็ควรหาเวลางีบหลับพักผ่อนบ้างแค่เวลาช่วงสั้นๆเพียง 20 นาที ก็ช่วยให้คุณทำงานได้ดีขึ้นแถมส่งผลดีต่อสุขภาพอีกต่างหาก แต่ก็อย่านอนยาวจนเสียการเสียงานล่ะไม่งั้นชีวิตรันทดของจริงเลย

เพียงแค่ 'พัก' ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวดี ๆ ได้

จากสำนวนสุดคุ้นหูที่ว่า “You are what you eat” หรือ “กินอะไรเข้าไปก็เป็นอย่างนั้น” กำลังสะท้อนถึงความเป็นจริง เพราะสิ่งที่เลือกไป ย่อมส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพ ประสิทธิภาพการทำงาน และความเป็นอยู่โดยรวม แต่ทว่าในโลกของการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและต้องใช้ความเร่งรีบ พนักงานจึงมักละเลยความสำคัญของการพักกลางวันไป

เพื่อต้องการออกจากความรู้สึกเครียดและเหนื่อยล้าจากการทำงานนี้ แค่ปล่อยมือทั้งสองข้างที่กำลังทำงาน เพราะมีเพียงช่วงเวลาพักกลางวันเท่านั้นที่จะได้เติมเต็มพลังงาน เราจึงอยากมาร่วมย้ำเตือนถึงความสำคัญและประโยชน์ของการพักกลางวันนี้กัน

ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด เพราะความตึงเครียดอาจก่อให้เกิดปัญหาทั้งสุขภาพกายและจิตใจ การปลีกตัวจากการทำงานในช่วงพักกลางวัน จะสามารถช่วยบรรเทาความเครียดให้รู้สึกดีขึ้นได้ในระดับหนึ่ง

ยืดตัวยืดกล้ามเนื้อ การนั่งทำงานอยู่กับที่เป็นเวลาหลายชั่วโมง เมื่อถึงเวลาพักกลางวัน ควรลุกจากโต๊ะทำงาน แทนการนั่งทำงานไปพร้อมกับการกินอาหารบนโต๊ะ แม้จะแค่ระยะเวลาสั้น ๆ ในระหว่างหยุดพักกลางวัน ก็ถือเป็นการยืดกล้ามเนื้อที่ดี ข้อมูลของ American Academy of Orthopedic Surgeons ระบุไว้ว่า การหยุดพักจากการนั่งเพื่อยืนและยืดกล้ามเนื้อเป็นกุญแจสำคัญหนึ่งในการป้องกันอาการปวดหลังและทำให้กระดูกสันหลังแข็งแรงขึ้น

ช่วยให้รับประทานแต่พอดี การออกไปกินอาหารข้างนอกจะช่วยให้กินอย่างมีสติและมีสมาธิจดจ่ออยู่กับอาหารตรงหน้ามากขึ้น เพราะไม่รู้สึกเร่งรีบหรือมีงานมากดดัน สามารถช่วยป้องกันไม่ให้กินมากหรือน้อยเกินไป ตามที่ มาลีนา มัลคานี ผู้สร้าง Solve Picky Eating กล่าวไว้ว่า "การรับประทานอาหารไปพร้อม ๆ กับทำอย่างอื่น จะทำให้ความสามารถในการรับรู้สัญญาณความหิวและความอิ่มลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่การกินอาหารที่มากหรือน้อยเกินไป จนทำให้เกิดความอยากขึ้นอีกครั้งและทำลายสมาธิในการทำอะไรบางอย่างในที่สุด"

เติมพลังความคิดเผื่อความสร้างสรรค์ หากนั่งทำงานตลอดทั้งวัน ไม่ออกไปพักกลางวัน ความคิดที่มีก็อาจจะหมดลง และทำให้งานไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ซึ่งช่วงเวลาที่สามารถพักจากงานได้นานที่สุดในเวลาทำงาน ก็คือช่วงพักกลางวัน ที่จะทำให้เกิดไอเดียใหม่ ๆ ได้อย่างสร้างสรรค์ หรือเข้าถึงงานจากมุมที่ต่างออกไป

ไม่ว่าจะเป็นสถิติที่ยืนยันแน่ชัดถึงประโยชน์ของการพักกลางวัน เช่น พนักงานกว่า 64% รายงานว่าอาหารกลางวันช่วยให้มีพลังงานต่อการทำงานในแต่ละวัน และพนักงานกว่า 51% ยอมรับว่าช่วงพักกลางวันช่วยให้สามารถจดจ่อกับการทำงานและทำงานออกมามีประสิทธิผลมากขึ้น นอกจากนี้ 28% ของพนักงานรายงานว่าการพักกลางวันทำให้มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น หรือการปรับทัศนคติว่าช่วงเวลาพักกลางวันคือเวลาคุณภาพสำหรับตนเอง ที่ถือเป็นโอกาสในการรีเซ็ตสมองและร่างกายให้กลับมามีสมาธิและพลังงานอีกครั้งหลังจากใช้เวลาทำงานมาในช่วงเช้าหลายชั่วโมง ก็เป็นเรื่องดีที่จะช่วยให้เหล่าพนักงานทั้งหลายได้ปลดโซ่ตรวนออกจากโต๊ะทำงาน และก้าวเดินไปสัมผัสกับสิ่งเร้าใหม่ ๆ และของอร่อยภายนอก เพื่อชดเชยความเครียดและความเหนื่อล้าที่เกิดขึ้นนี้ให้น้อยลง

"การทุ่มเทพลังงานให้กับบางสิ่งบางอย่างเป็นเวลาแปดชั่วโมงต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นั้นสิ้นเปลืองเกินไป อาหารกลางวันจึงกลายเป็นวิธีการเยียวยากายและเยียวยาใจที่ดี  แม้มันไม่ใช่การรักษา แต่มันก็ช่วยได้"...ว่าแล้วก็ไปพักกันเถอะ

สร้างวัฒนธรรม 'งานรอได้'

การปล่อยวางจากภาระงานที่กำลังทำโดยคิดว่า 'งานสามารถรอได้' และลุกขึ้นจากที่นั่ง ออกไปใช้เวลาช่วงพักกลางวันให้เต็มที่ผ่านการรับประทานอาหารกลางวันนอกบริเวณโต๊ะทำงานหรือข้างนอกบริษัท อาจเป็นเรื่องราวที่ดีกว่าการต้องมามัวแต่อุดอู้อยู่ในที่โต๊ะทำงานเพียงที่เดียว เพราะข้อดีของการสละเวลาออกไปรับประทานอาหารกลางวันในช่วงพัก ไม่ใช่แค่ช่วยให้ท้องอิ่มและมีเรี่ยวแรง แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตอีกมากมายหลายประการ

ดังเช่นผลการวิจัยของ Staples Advantage และ WorkPlaceTrends ที่พบว่า ช่วงพักกลางวันเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการทำให้ตนเองกลับมามีชีวิตชีวาจากการทำงานอีกครั้ง นอกจากนี้เหล่าพนักงาน ผู้ตอบแบบสำรวจที่จัดทำโดย Sharebite ซึ่งร่วมมือกับ Wakefield Research ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การรับประทานอาหารกลางวันช่วยให้พวกเขามีพลังงานมากขึ้น ลดความเหนื่อยล้าจากการนั่งเป็นเวลานาน มีอารมณ์ที่ดีขึ้น และเป็นการให้เวลาพวกเขาได้คิดเรื่องอื่น ๆ นอกเหนือจากงานตรงหน้าอีกด้วย

เช่นเดียวกับที่ เจนนิเฟอร์ ดีล นักวิทยาศาสตร์งานวิจัยได้กล่าวไว้ว่า สมองไม่มีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่โดยไม่หยุดพัก และอาจเป็นเรื่องยากที่จะทำสิ่งเดิม ๆ ตลอดทั้งวัน อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับพนักงานว่า พวกเขาต้องการจัดเวลาพักในแต่ละวันอย่างไร แต่การพักที่ดีที่สุดของการทำงาน ก็คงเป็นการพักรับประทานอาหารกลางวันนั่นเอง

ในปัจจุบันวัฒนธรรมการทำงานมนุษย์ออฟฟิศกำลังประสบกับภาวะติดกับดักการทำงานหนัก ที่กว่าจะรู้ตัวนั้น ความขยันก็ได้กลับกลายมาทำร้ายตัวเราเสียแล้ว จนเกิดภาวะ “#Workไร้Balance” ขึ้นแบบไม่รู้ตัว และยิ่งหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ทุกอย่างเอื้ออำนวยกับคำว่า “ออนไลน์” มากขึ้น แม้แต่การกินอาหาร เหล่าพนักงานออฟฟิศต่างก็พึ่งการบริการสั่งอาหารเดลิเวอรีมารับประทานหน้าจอกันมากขึ้นจนกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ (New Norm) ในการดำเนินชีวิตไปเสียแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารที่โต๊ะทำงาน การกินไปทำงานไป หรือบางคนกินอาหารจังก์ฟู้ดอย่างรีบเร่งที่ล้วนส่งผลเสียตามมา ทั้งทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ความห่างเหินระหว่างเพื่อนร่วมงานเพราะมัวแต่อุดอู้ที่โต๊ะทำงาน ไปจนถึงผลเสียต่อสุขภาพร่างกายละจิตใจ ซึ่งหากอยากให้ชีวิตมีบาลานซ์มากขึ้น ก็จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงความ “ไร้” บาลานซ์เหล่านี้ด้วยการออกจากพื้นที่เดิม ๆ สู่การรับประทานอาหารนอกออฟฟิศในช่วงพักกลางวัน โดยงานวิจัยของ Harvard Health Publishing ชี้ว่า 51% ของพนักงานที่ได้ไปพักรับประทานอาหารกลางวันข้างนอกนั้น จะมีสมาธิเพิ่มขึ้น กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

ด้วยเหตุนี้เอง ZEN ในฐานะธุรกิจอาหารชั้นนำจึงได้ร่วมมือกับ SOUR Bangkok เปิดตัว Bento Boss แคมเปญ ‘ข้าวปั้นหน้าบอส’ ที่สร้างสรรค์ประติมากรรมข้าวปั้นหน้า CEO ตัวท็อปของประเทศไทย ที่จะมาจุดประกายและต่อยอดสู่การสร้างมูฟเมนต์ #WorkLunchBalance จนกลายเป็นกระแสสั่นสะเทือนไปทั้งโซเชียลที่จะมาส่งเสริมให้พนักงานได้เพลิดเพลินกับการพักรับประทานอาหารกลางวันอย่างมีคุณภาพนอกออฟฟิศ ที่จะทำให้พวกเขากลับมาทำงานต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

พักใจด้วยพักกลางวัน

หลังจากการทำงานอย่างหนักหน่วงในช่วงเช้าของแต่ละวัน ที่บางคนหมดเวลาไปกับการประชุมโดยไม่มีแม้แต่อาหารเช้าหรือกาแฟตกถึงท้อง หรือบางคนหมดเวลาไปกับการเช็กอีเมลที่ไม่มีทีท่าว่าจะหมดไปเสียที ระยะเวลากว่า 3-4 ชั่วโมงนี้อาจเป็นช่วงเวลาแสนทรมานของใครหลายคน และยิ่งกับช่วงบ่ายที่ระยะเวลาการทำงานต่อกันยาวนานยิ่งกว่าช่วงเช้า การจะผ่านการทำงานในช่วงบ่ายด้วยพลังงานที่สดชื่นพร้อมสู้งานนั้นคงต้องพึ่ง “การพักกลางวัน” ช่วงเวลาแห่งความสุขที่จะทำให้เหล่าพนักงานมีแรงพร้อมที่จะทำงานต่อในช่วงบ่ายของวัน

แน่นอนว่า 'ช่วงพักกลางวัน' กว่า 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงนี้ถือเป็นช่วงเวลาแห่งโอกาสในการเติมเต็มพลังงานและมุ่งความสนใจไปที่ใหม่ๆ แทนการทำงานที่พนักงานทั้งหลายต่างตั้งหน้าตั้งตาคอย เพราะเป็นช่วงเวลาเดียวที่จะได้พักแบบอิสระอย่างเต็มที่ ทั้งยังได้เติมพลังจากการทานอาหารกลางวัน เพื่อให้พวกเขาสามารถรับมือกับครึ่งหลังของวันด้วยพลังงานที่สดชื่น และคลายความตึงเครียดและความเหนื่อยล้าที่อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพกายและปัญหาสุขภาพจิตจากการทำงานได้เป็นอย่างดี

แต่ทว่า ความเป็นจริงนั้นกลับสวนทางกับวัฒนธรรมการทำงานของพนักงานส่วนใหญ่ที่มักจะทำงานหลายชั่วโมงติดกันแบบไม่หยุดพัก บ้างก็นำอาหารมื้อเที่ยงมากินบนโต๊ะทำงาน หรือเลือกเมนูง่าย ๆ แบบเร่งด่วนที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อสุขภาพ บ้างก็จิบกาแฟแทนมื้ออาหาร หรือแย่ไปกว่านั้นคือ การงดอาหารกลางวันไปเลย

หากการทำงานที่บริษัทมีเปอร์เซ็นต์การกินอาหารกลางวันหน้าจอที่สูงแล้วนั้น แย่ไปกว่านั้นคือ การทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) ที่ไม่มีการแบ่งสถานที่ทำงานออกจากการพักผ่อนอย่างชัดเจน และยังไม่มีผู้อื่นมาชวนกันไปพักกลางวัน ก็ยิ่งทำให้การเลือกกินอาหารที่หน้าจอเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคยและก่อให้เกิดผลเสียมากมายตามมา

โดยจากการศึกษาวิจัยหลายชิ้นรองรับว่า การกินอาหารหน้าหน้าจอ ทำให้บริเวณโต๊ะทำงานนั้นเต็มไปด้วยเชื้อโรค โดยเฉพาะคีย์บอร์ดที่มีร่องเล็กๆ เต็มไปหมด ซึ่งไม่ใช่แค่เก็บฝุ่น แต่ยังอาจมีเศษอาหารและเชื้อโรคสะสมอยู่ ดังนั้นพฤติกรรมการกินอาหารที่โต๊ะทำงานก็เท่ากับการเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการรับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งการนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตลอดทั้งวันยังทำให้มีอาการปวดหลังและเมื่อยตัวได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงตามมา