เจาะลึก ดีลลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ทุบสถิติใหม่ 4 ปี ทำเงิน 3 แสนล้านบาท

เจาะลึก ดีลลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ทุบสถิติใหม่ 4 ปี ทำเงิน 3 แสนล้านบาท

ลีกฟุตบอลที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดของโลก เจาะลึกดีล ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ทุบสถิติใหม่ 4 ปี ทำเงิน 3 แสนล้านบาท

Key Points
• เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาพรีเมียร์ลีกได้จัดการประมูลลิขสิทธิ์รอบใหม่สำหรับการถ่ายทอดสดภายในสหราชอาณาจักรก่อน ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 หรือในอีกเกือบ 2 ฤดูกาลข้างหน้า

• สิ่งที่น่าสนใจคือมูลค่าลิขสิทธิ์การประมูลรอบนี้สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 6,700 ล้านปอนด์ หรือราว 300,000 ล้านบาทนั้น อาจไม่ได้เป็นการบ่งบอกว่ามูลค่าของเกมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเพิ่มขึ้นเสมอไป

• การประมูลรอบนี้ตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 6,700 ล้านปอนด์ก็จริง แต่จำนวนฤดูกาลในรอบนี้เพิ่มขึ้น 1 ปี เฉลี่ยแล้วจะอยู่ฤดูกาลละ 1,675 ล้านปอนด์ หรือราว 75,000 ล้านบาท ในขณะที่สถิติเดิมในรอบฤดูกาล 2016-19 เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ปีละ 1,713 ล้านปอนด์ หรือ 76,000 ล้านบาท

“The Greatest Show on Earth” คือสโลแกนของฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ลีกฟุตบอลที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดของโลก
 
    ในทุกสุดสัปดาห์ (และกลางสัปดาห์) จะมีแฟนๆเฝ้าติดตามการแข่งขันต่อเนื่องของทีมขวัญใจมหาชนมากมายไม่ว่าจะเป็นลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซนอล, ท็อตแนม ฮอตสเปอร์, เชลซี ไปจนถึงแมนเชสเตอร์ ซิตีที่เป็นที่นิยมในกลุ่มแฟนฟุตบอลรุ่นใหม่ และทีมอื่นๆในลีก

เจาะลึก ดีลลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ทุบสถิติใหม่ 4 ปี ทำเงิน 3 แสนล้านบาท

    ด้วยความที่มีจำนวนแฟนฟุตบอลเฝ้ารอติดตามชมหลัก “พันล้าน” คนทั่วโลก ทำให้มูลค่าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดของลีกฟุตบอลจากประเทศอังกฤษสูงอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งล่าสุดมีการเปิดประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดสำหรับในสหราชอาณาจักร (UK) รอบใหม่ระยะเวลา 4 ปีตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 ไปจนถึง 2028/29 

มูลค่าของลิขสิทธิ์นั้นสูงทะลุ 300,000 ล้านบาท! เพิ่มขึ้นจากเดิมพอสมควร และเป็นการเพิ่มมูลค่าลิขสิทธิ์ครั้งแรกในรอบเกือบสิบปี

    เรื่องนี้มีที่มาที่ไปที่น่าสนใจไม่น้อย


การประมูลที่แสนดุเดือด

ขึ้นชื่อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกแล้ว แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าตัวเลขจะมากมายมหาศาลแค่ไหนบรรดาผู้ให้บริการทั้งหลายต่างไม่มีทางเลือกที่จะต้องทุ่มสุดตัวเพื่อคว้าลิขสิทธิ์มาครองให้ได้
    
ปกติแล้วพรีเมียร์ลีกจะเปิดให้ประมูลลิขสิทธิ์กันล่วงหน้า โดยจะแยกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน

    1. ลิขสิทธิ์สำหรับการถ่ายทอดสดในสหราชอาณาจักร (UK)
    2. ลิขสิทธิ์สำหรับประเทศอื่นๆทั่วโลก (Overseas)

เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาพรีเมียร์ลีกได้จัดการประมูลลิขสิทธิ์รอบใหม่สำหรับการถ่ายทอดสดภายในสหราชอาณาจักรก่อน ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 หรือในอีกเกือบ 2 ฤดูกาลข้างหน้า โดยคราวนี้รอบการประมูลมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดพอสมควร

    • จำนวนฤดูกาลเพิ่มจาก 3 เป็น 4 ปีต่อรอบ
    • จำนวนเกมที่จะมีการถ่ายทอดสดต่อฤดูกาลมีการเพิ่มจำนวนขึ้นจากเดิมเป็น 267 นัด (ในสหราชอาณาจักรไม่มีการถ่ายทอดสดทุกนัดเพื่อให้แฟนบอลยังเดินทางไปชมเกมที่สนามอยู่) 

เจาะลึก ดีลลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ทุบสถิติใหม่ 4 ปี ทำเงิน 3 แสนล้านบาท

    การประมูลนั้นจะแบ่งออกเป็นแพ็คเกจให้ผู้ให้บริการยื่นซองเข้ามา ผู้ที่เสนอราคาดีที่สุดจะได้เป็นผู้ชนะในแพ็คเกจนั้นๆ ซึ่งมีจำนวน 5 แพ็คเกจด้วยกัน ซึ่งผลปรากฏว่า Sky Sports ผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุดยังคงกวาดลิขสิทธิ์มาครองมากที่สุดเหมือนเดิมถึง 4 แพ็คเกจ

    Sky Sports ได้ลิขสิทธิ์ในแพ็คเกจ B (50 นัด), C (66 นัด), D (44 นัด) และ E (58 นัด) รวมแล้ว 215 นัดต่อฤดูกาล

โดยที่จะมีเกมให้ถ่ายทอดสดต่อเนื่องทั้งเกมคืนวันศุกร์ (Friday Night) และคืนวันจันทร์ (Monday Night) เกมกลางสัปดาห์ (Midweek) และแน่นอนเกมสุดสัปดาห์ในช่วงเสาร์อาทิตย์

และที่สำคัญที่สุดที่เป็นไฮไลต์เลยคือ Sky Sports จะถ่ายทอดสดเกมครบทั้ง 10 คู่ในนัดที่ 38 หรือนัดสุดท้ายของฤดูกาลเป็นครั้งแรก
    
ส่วนแพ็คเกจที่เหลือคือแพ็คเกจ A เป็นของ TNT Sports หรือในชื่อเดิมว่า BT Sport ที่จะถ่ายทอดสดจำนวน 52 นัดต่อฤดูกาล ซึ่งจะมีเกมคู่ 12.30 น.ของวันเสาร์ (ที่แฟนลิเวอร์พูลไม่ชอบนัก) รวมถึงเกมกลางสัปดาห์อีก 2 รอบ (Matchday) รวมอยู่ด้วย
    
ขณะที่ BBC Sport ยังคงรักษาลิขสิทธิ์ไฮไลต์เกมฟุตบอลครบทั้ง 380 นัตด่อฤดูกาล ทำให้จะยังคงมีรายการ Match of the Day ต่อไปเหมือนเดิม
    
ผู้ให้บริการรายที่ผิดหวังคือ Amazon Prime ที่ปัจจุบันถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด 20 คู่ต่อฤดูกาล ไม่สามารถคว้าแพ็คเกจการถ่ายทอดสดใดได้เลย แต่อย่างน้อยก็มีลิขสิทธิ์ฟุตบอลยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีกสำหรับรอบใหม่ที่จะเริ่มในฤดูกาลหน้าอยู่ในมือแล้ว
 

มูลค่าฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่?
    
สิ่งที่น่าสนใจคือมูลค่าลิขสิทธิ์การประมูลรอบนี้สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 6,700 ล้านปอนด์ หรือราว 300,000 ล้านบาทนั้น อาจไม่ได้เป็นการบ่งบอกว่ามูลค่าของเกมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเพิ่มขึ้นเสมอไป
    
จริงอยู่ที่มูลค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรอบนี้เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รอบประมูลของฤดูกาล 2016-2019 ที่มีมูลค่า 5,140 ล้านปอนด์หรือราว 230,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติเดิมก่อนหน้านี้ แต่มีสัญญาณบ่งชี้ว่ามูลค่าลิขสิทธิ์เกมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่พุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้งตลอด 31 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ก่อตั้งจะเริ่มถึงทางตันเหมือนกัน
    
สังเกตได้จากในการประมูลรอบฤดูกาล 2019-22 ที่ตัวเลขลดลงมาเหลือ 4,550 ล้านปอนด์หรือราว 204,000 ล้านบาท และในรอบก่อนหน้านี้ 2022-25 ที่ตัวเลขขยับขึ้นแต่ยังได้แค่ใกล้เคียงสถิติเดิมคือ 5,100 ล้านปอนด์ หรือราว 228,000 ล้านบาท
    
ขณะที่การประมูลรอบนี้ตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 6,700 ล้านปอนด์ก็จริง แต่จำนวนฤดูกาลในรอบนี้เพิ่มขึ้น 1 ปี เฉลี่ยแล้วจะอยู่ฤดูกาลละ 1,675 ล้านปอนด์ หรือราว 75,000 ล้านบาท 
    
ในขณะที่สถิติเดิมในรอบฤดูกาล 2016-19 เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ปีละ 1,713 ล้านปอนด์ หรือ 76,000 ล้านบาท

เจาะลึก ดีลลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ทุบสถิติใหม่ 4 ปี ทำเงิน 3 แสนล้านบาท
    
อย่างไรก็ดี ตัวเลขนี้ยังเป็นเพียงแค่ตัวเลขค่าลิขสิทธิ์เฉพาะในสหราชอาณาจักร พรีเมียร์ลีกยังมีความหวังที่จะทำเงินรายได้อีกมากมายมหาศาลจากการประมูลลิขสิทธิ์ทั่วโลกที่จะเริ่มขึ้นในเร็วๆนี้ ซึ่งสุดท้ายแล้วตัวเลขนี้ยังถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจเมื่อคิดถึงเศรษฐกิจทั่วโลกที่กำลังถดถอย
    
และถือว่าดีกว่าลีกคู่แข่งอย่างเซเรีย อา ที่เพิ่งประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรอบใหม่ระยะเวลา 5 ปีไปเมื่อเดือนตุลาคม ได้มา 4,500 ล้านยูโร หรือราว 173,000 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าพรีเมียร์ลีกมาก ขณะที่ลีก เอิง ฝรั่งเศสยังประสบปัญหาไม่สามารถหาผู้ซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดสำหรับฤดูกาล 2024-2029 ได้เลย
 

แฟนๆคือผู้ชนะ?
    
การเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกรอบใหม่นี้ ฝ่ายที่เหมือนจะได้ประโยชน์มากที่สุดคือแฟนๆ (ในสหราชอาณาจักร) ที่เฝ้าติดตามชมการแข่งขัน
    
นั่นเพราะจะมีการถ่ายทอดสดให้ชมมากขึ้น มีอะไรให้ดูมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่านอกจากการถ่ายทอดสดก็ย่อมมีการวิเคราะห์เกมฟุตบอลให้ชมทั้งก่อน ระหว่าง และหลังเกม ไปจนถึงรายการวิเคราะห์อีกมากมายที่น่าติดตาม
    
ส่วนแฟนบอลต่างแดนรวมถึงแฟนชาวไทย เรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเพราะพรีเมียร์ลีกมีการถ่ายทอดสดครบทั้ง 380 นัดทั้งฤดูกาลมานานแล้ว

เจาะลึก ดีลลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ทุบสถิติใหม่ 4 ปี ทำเงิน 3 แสนล้านบาท
    
สโมสรฟุตบอลเองก็อาจเรียกว่าเป็นผู้ชนะได้เช่นกัน เพราะหมายถึงตัวเลขเงินมหาศาลที่จะได้รับจากค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดต่อปีที่ทำให้ทีมยังรักษาศักยภาพในการแข่งขันเอาไว้ได้ มีเงินดึงดูดนักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์มาร่วมทีม โดยที่ในปัจจุบันต่อให้เป็นทีมระดับกลางหรือล่างของพรีเมียร์ลีกก็มีศักยภาพในการแข่งขันไม่แพ้ทีมระดับท็อปของลีกคู่แข่ง
    
ทีมดีขึ้น ลีกดีขึ้น ฟุตบอลสนุกขึ้น ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับภาพรวม
    
แต่ผู้ชนะตัวจริงสำหรับเรื่องนี้คือผู้ให้บริการอย่าง Sky Sports ซึ่งเป็นผู้จุดประกายการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของลีกฟุตบอลอังกฤษเมื่อ 31 ปีที่แล้ว เพราะจะมีจำนวนเกมถ่ายทอดสดเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกกว่า 100 นัดต่อฤดูกาล และฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในสหราชอาณาจักรจะออกทางช่องของพวกเขาถึงกว่า 70 เปอร์เซ็นต์

    
พรีเมียร์ลีกบน Netflix และ Apple?

    หนึ่งในเรื่องที่มีการจับตามองแต่ยังไม่เกิดขี้นจริงคือการเข้ามาร่วมแข่งขันของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์เจ้าใหญ่อย่าง Netflix และ Apple ที่เริ่มให้น้ำหนักและความสำคัญของการถ่ายทอดสดกีฬาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
    
โดย Netflix เพิ่งประกาศจะถ่ายทอดสด Netflix Cup ที่จะนำสองยอดนักเทนนิสต่างรุ่น คาร์ลอส อัลคาราซ มาดวลกับราฟาเอล นาดาล ขณะที่ Apple ซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลเมเจอร์ ลีก ซอคเกอร์ (MLS) เพื่อตามถ่ายทอดสดลิโอเนล เมสซี  ที่อยู่กับทีมอินเตอร์ ไมอามี
    
ในรอบการประมูลล่าสุดนี้ทั้ง Netflix และ Apple ยังไม่ได้เข้าร่วมวงด้วยแต่อย่างใด และในรอบการประมูลสำหรับตลาดทั่วโลกนั้นก็คาดว่าจะยังไม่มีความเคลื่อนไหวในตอนนี้ เพราะมูลค่าอาจจะสูงเกินไปจนมองไม่เห็นโมเดลในการทำรายได้กลับมา
    
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสในอนาคต
    
ส่วนพรีเมียร์ลีกเองก็เคยมีแผนสำหรับการถ่ายทอดสดแบบ OTT บนแพลตฟอร์มตัวเองในโปรเจ็คต์ “Premflix” เช่นกัน แต่ไม่มีความคืบหน้าใดๆออกมาในตอนนี้
    
นั่นอาจเป็นเพราะยังเชื่อมั่นในแนวทางแบบเดิมที่ปล่อยลิขสิทธิ์ให้ผู้บริการซื้อไปบริหารจัดการเองก็น่าจะเพียงพอ
    
แค่นี้ก็นับเงินกันเหนื่อยแล้ว!