ททท. ลุ้นนิวไฮท่องเที่ยวปี 67 ดันรายได้แตะ 3.5 ล้านล้าน ตั้งเป้าจีน 8.5 ล้านคน

ททท. ลุ้นนิวไฮท่องเที่ยวปี 67 ดันรายได้แตะ 3.5 ล้านล้าน ตั้งเป้าจีน 8.5 ล้านคน

โจทย์หิน 'ท่องเที่ยวไทย' ฝ่าแข่งขันเดือดทั่วโลก 'ททท.' กางแผนยุทธศาสตร์ปี 67 สานเป้าใหม่รัฐบาล รายได้รวมแตะ 3.5 ล้านล้านบาท อ้อนรัฐของบทำตลาดสู้คู่แข่ง ดันไทยยืนหนึ่งเวทีโลก จ่อชงยาแรงต่ออายุ 'วีซ่าฟรี' ผนึก 'แอตต้า' โรดโชว์แดนมังกร 11-15 ธ.ค. ปลุกเชื่อมั่นกรุ๊ปทัวร์

การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย หนึ่งในเครื่องยนต์หลักเร่งพลิกฟื้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้ให้เป้าหมายเชิงนโยบายปี 2567 แก่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สร้างรายได้รวมการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศ 2.5 ล้านล้านบาท และรายได้จากตลาดในประเทศ 1 ล้านล้านบาท

โดยเป้าหมายของรัฐบาลถือว่าสูงกว่าเป้าหมายการทำงานของ ททท.ซึ่งตอนแรกตั้งไว้ที่ 3 ล้านล้านบาท ฟื้นตัว 100% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด โดยแบ่งเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศ 1.92 ล้านล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 35 ล้านคน และรายได้จากตลาดในประเทศ 1.08 ล้านล้านบาท จากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 200 ล้านคน-ครั้ง

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ตามนโยบายควิกวิน (Quick Win) ของรัฐบาล ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้รวมการท่องเที่ยวจาก 3 ล้านล้านบาท เป็น 3.5 ล้านล้านบาท โดยมอบหมายให้ ททท.เร่งเพิ่มรายได้จากฝั่งตลาดต่างประเทศอีก 5 แสนล้านบาท ด้วยการเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริปของนักท่องเที่ยวและวันพำนักในประเทศไทยนานขึ้น

ทั้งนี้ เมื่อรัฐบาลมอบเป้าหมายใหม่ มองว่าจำเป็นต้องให้การสนับสนุนด้านงบประมาณด้วย เนื่องจากตอนนี้ภาคการท่องเที่ยวทั่วโลก ประเทศคู่แข่งต่างทุ่มงบประมาณทำการตลาดเพื่ออัดแคมเปญโฆษณาประชาสัมพันธ์และจัดโปรโมชันร่วมกับภาคเอกชน ขณะเดียวกันยังมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาด้านซัพพลาย สนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยว

“ต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่ช่วยแก้ไขอุปสรรค ออกมาตรการยาแรงอำนวยความสะดวกเรื่องการเข้าเมืองแก่นักท่องเที่ยวตลาดเป้าหมาย แต่ถ้าจะให้ประเทศไทยยืนหนึ่งตามที่รัฐบาลต้องการ การให้ยาแรงเชิงนโยบายอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องให้เงิน ให้งบประมาณมาสนับสนุนการทำตลาดเพิ่มด้วย”

ททท. ลุ้นนิวไฮท่องเที่ยวปี 67 ดันรายได้แตะ 3.5 ล้านล้าน ตั้งเป้าจีน 8.5 ล้านคน

ส่วนสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-30 พ.ย. พบว่ามีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1,204,746 ล้านบาท และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 877,916 ล้านบาท ททท.จึงประเมินว่ามีโอกาสที่ตลอดปี 2566 ประเทศไทยจะมีรายได้รวมการท่องเที่ยวไปถึงเป้าหมาย 2.38 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเป้ารายได้จากตลาดต่างประเทศ 1.5 ล้านล้านบาท และเป้ารายได้จากตลาดในประเทศ 8.8 แสนล้านบาท

ชูกลยุทธ์ “PASS” เดินหน้าท่องเที่ยวยั่งยืน

ทั้งนี้ แผนงานของ ททท. ในปี 2567 จะมุ่งเน้นคุณภาพควบคู่มูลค่า และเดินหน้าสู่ความยั่งยืน (High Value & Sustainability) ภายใต้การบูรณาการของทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวทั้งปี ท่องเที่ยวยั่งยืน และท่องเที่ยวเท่าเทียม ทั้งยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ทรงคุณค่า (Value of Experience) บนฐานวัฒนธรรมและซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power)

โดย ททท. กำหนดกลยุทธ์หลัก “PASS” ประกอบด้วย

1. P: Partnership 360o ประสานความร่วมมือพันธมิตรรอบทิศอย่างมีประสิทธิภาพ

2. A : Accelerate Access to Digital World ผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนองค์กร ทั้งการตลาดและการพัฒนาด้วยฐานข้อมูลและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ

3. S : Sub Culture Movement ลงลึกถึงกลุ่มวัฒนธรรมย่อย ทั้งในกลุ่มกระแสหลัก (Mass) และกลุ่มความสนใจเฉพาะ (Niche)  

4. S : Sustainably NOW ผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่ความยั่งยืน นำเสนอกิจกรรมท่องเที่ยวลดก๊าซเรือนกระจก (Net Zero Tourism)

 

ชู 5 ทิศทางหลักเคลื่อนทัวริสต์ต่างชาติ

การส่งเสริมการตลาดปี 2567 ททท.จะขับเคลื่อนตลาดต่างประเทศใน 5 ทิศทางหลัก ได้แก่

1.เสริมภาพลักษณ์แบรนด์ท่องเที่ยวไทยด้านความยั่งยืนและใช้เป็นจุดขายใหม่ของประเทศไทย

2.รุกเปิดตลาดคุณภาพใหม่ให้ท่องเที่ยวไทยต่อเนื่องตลอดทั้งปี (Thailand All Year Round) เช่น กลุ่มตลาดย่อยในตลาดระยะใกล้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มครอบครัวที่มีรายได้สูงในญี่ปุ่น (OYA-Rich) กลุ่มดิจิทัลนอแมด (Digital Nomad) กลุ่มทำงานไปด้วยเที่ยวไปด้วย (Workation) และกลุ่มสุขภาพและความงาม (Health & Beauty)

3.แสวงหาคู่ค้ารายใหม่และขยายความร่วมมือกับคู่ค้ารายใหญ่ในเวทีโลก เช่น Tourism Cares ของสหรัฐ รวมถึงบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) ชั้นนำ และแพลตฟอร์มการชำระเงินยอดนิยมต่างๆ

4.ขยายการเดินทางเชื่อมโยงทางบกเข้าถึงไทย เช่น จากการเปิดบริการรถไฟฟ้าความเร็วสูง จีน-เวียงจันทน์ (ลาว)-ไทย

5.ใช้ดิจิทัลคอนเทนต์ (Digital Content) เสริมพลังทางการตลาด เช่น เกาหลีใต้ ใช้อินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริง (Virtual Influencer) คือ น้อง Rozy นำเสนอประสบการณ์เที่ยวไทยชวนนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายเจน Y-Z มาเที่ยวไทย

โดย ททท.ได้วางแผนการตลาดที่ลึกขึ้น ด้วยแผนงานและโครงการเจาะตลาดสำคัญให้ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศจุดหมายปลายทางหลักที่ถือสัดส่วนด้านการท่องเที่ยว จากจำนวนรวมของนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ มุ่งเจาะกลุ่มเซ็กเมนต์นักท่องเที่ยวใหม่ๆ ในตลาดเดิม

รวมถึงแผนงานที่กว้างขึ้น ด้วยการบริหารสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิดตามบริบท และการเปลี่ยนแปลงของโลก ด้วยแผนงานและโครงการในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ 1.กระตุ้นการเติบโตในตลาดศักยภาพ เช่น สหรัฐ คาซัคสถาน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว อินโดนีเซีย กัมพูชา และเมียนมา และ 2.ส่งเสริมการเติบโตในตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ เช่น ซาอุดีอาระเบีย และกลุ่มประเทศ CIS (Commonwealth of Independent States)

 

“เศรษฐา” สั่งสารพัดโจทย์ปลุกท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักที่สำคัญของไทย อาทิ มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ อินเดีย และรัสเซีย รัฐบาลโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้อนุมัติ 5 มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่สำคัญ ประกอบด้วย 

1.มาตรการยกเว้นวีซ่า (วีซ่า-ฟรี) สำหรับชาวจีนและคาซัคสถาน ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2566 - 29 ก.พ. 2567 2.มาตรการขยายวันพำนัก แก่นักท่องเที่ยวรัสเซียจาก 30 เป็น 90 วัน เป็นกรณีพิเศษ ตั้งแต่ 1 พ.ย. 2566 - 30 เม.ย. 2567 3.มาตรการยกเว้นยื่นแบบ ตม.6 ด่านพรมแดนสะเดา จังหวัดสงขลา ตั้งแต่ 4 พ.ย. 2566 - 4 ม.ค. 2567 4.มาตรการยกเว้นวีซ่า (วีซ่า-ฟรี) แก่นักท่องเที่ยวอินเดียและไต้หวัน โดยให้อยู่ในประเทศไทยได้ เป็นระยะ 30 วัน ตั้งแต่ 10 พ.ย. 2566 - 10 พ.ค. 2567 และ 5.มาตรการขยายเวลาให้บริการของสถานประกอบการ ล้วนเป็นการเอื้อต่อการทำงาน ตามบทบาทและภาระหน้าที่ของ ททท. เป็นอย่างมาก

“นายกรัฐมนตรี เป็นนักธุรกิจ จึงเข้าใจปัญหาของการท่องเที่ยวเป็นอย่างดี และสั่งการ ททท.ในหลายประเด็นที่ต้องทำให้ได้ เช่น ควิกวินกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังจากรัฐบาลได้ออกมาตรการยาแรงด้วยการให้วีซ่าฟรีกับหลายประเทศ ให้บริหารจัดการภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทยในโลกออนไลน์ การบริหารจัดการบรรยากาศท่องเที่ยว รวมทั้งการกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรอง”

 

“สุขทันที ที่เที่ยวไทย”กระตุ้นไทยเที่ยวไทย

ด้านตลาดในประเทศ กระตุ้นให้คนไทยเที่ยวเมืองไทยบ่อยครั้งขึ้นและหลากหลายพื้นที่มากขึ้นตลอดทั้งปี เป็น “365 วัน มหัศจรรย์เมืองไทยเที่ยวได้ทุกวัน” ชูความแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ของแต่ละภาค ภายใต้แคมเปญสื่อสารตลาดในประเทศ “สุขทันที ที่เที่ยวไทย” เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวออกไปท่องเที่ยว สร้างความสุข พร้อมดูแลธรรมชาติ นำไปสู่ช่วงเวลาที่แสนพิเศษตลอดทั้งปีในเมืองไทย และกระจายรายได้ให้ทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียม

สำหรับแนวคิดการทำตลาดของแต่ละภาคจะนำเสนอประสบการณ์ท่องเที่ยวผ่านอัตลักษณ์ ได้แก่ 1.ภาคเหนือ ชวนสัมผัส เสน่ห์วันวานเมืองเหนือ ผสานความร่วมสมัย ผ่านซอฟต์พาวเวอร์ของภาคเหนือ ทั้งไลฟ์สไตล์ และพลังศรัทธา โดยกระตุ้นค่าใช้จ่ายด้วยงานศิลปะ หัตถกรรม และเฟสติวัล 2.ภาคกลาง เสิร์ฟความสุขง่ายๆ ใกล้ตัวจากสุขภาพดี เรื่องราวดีๆ งานดี เที่ยวดี และสบายใจดี ให้กับผู้เยี่ยมเยือน ภายใต้แนวคิด 4HD (4 Happy-Definition)

3.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดประสบการณ์อาหารถิ่น และร้านอาหารที่ได้มิชลินไกด์ (Michelin Guide) ชวนคนไทยเที่ยวอีสานในคอนเซปต์ อีสาน...ไปไสกะแซ่บ มากกว่าอาหารคือประสบการณ์ ผ่าน 20 เมนูแซ่บ จาก 20 จังหวัด 4.ภาคตะวันออก นำเสนอคุณค่าประสบการณ์ท่องเที่ยวผ่านเรื่องราว Story สบ๊ายสบาย Plus ด้วยประสบการณ์ท่องเที่ยว ยืนหนึ่งเรื่องกิน ฟินเรื่องเที่ยว เต็มเหนี่ยวสายมู และเรียนรู้เรื่องรักษ์ และ 5.ภาคใต้ ไป หรอยแรง แหล่งใต้ ตอกย้ำประสบการณ์ท่องเที่ยวหลากหลาย 14 สไตล์ 14 จังหวัด ให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวภาคใต้ตามสไตล์ตัวเองได้ตลอดทั้งปี

 

“จีนเที่ยวไทย” โตก้าวกระโดด 8.5 ล้านคน

นางสาวฐาปนีย์ กล่าวต่อว่า ตลาดนักท่องเที่ยวจีนยังคงเป็นความหวังสำคัญในปี 2567 เพื่อฟื้นฟูภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดย ททท.ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทย 8.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ซึ่งประเมินว่าจะเดินทางเข้าไทย 3.4-3.5 ล้านคน ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะเห็น 4 ล้านคน เนื่องจากเศรษฐกิจจีนกำลังมีปัญหา ทำให้รัฐบาลจีนเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ เห็นได้จากค่าตั๋วเครื่องบินภายในประเทศจีนเดือน ธ.ค. เฉลี่ย 590 หยวน ลดลง 19% จากเดือน พ.ย. ที่มีราคา 728 หยวน ส่วนราคาตั๋วเครื่องบินไปต่างประเทศเดือน ธ.ค. ราคาเท่ากับเดือน พ.ย. เฉลี่ย 1,980 หยวน ทำให้คนจีนท่องเที่ยวในประเทศจำนวนมาก ทั้งนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนมาไทยตลอดปี 2566 ยังคงห่างจากปี 2562 ก่อนโควิดระบาด ซึ่งมีนักท่องเที่ยวจีนสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 11 ล้านคน

“ททท.เตรียมเสนอรัฐบาลต่ออายุมาตรการวีซ่าฟรีให้นักท่องเที่ยวจีนที่จะหมดลงในวันที่29 ก.พ. 2567 รวมทั้งให้พิจารณาเพิ่มวันพำนักแก่นักท่องเที่ยวจากประเทศที่ได้รับวีซ่าฟรีอยู่แล้ว จาก 30 วัน เป็น 90 วัน รวมทั้งเตรียมหารือกระทรวงการต่างประเทศ ให้ชาวต่างชาติที่ทำวีซ่านักท่องเที่ยว สามารถเข้าออกประเทศไทยได้หลายครั้ง (Multiple Visa) รองรับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่สนใจเดินทางจากไทยเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ดึงดูดให้เขากลับมาเที่ยวประเทศไทยอีก”

 

โรดโชว์จีน 11-15 ธ.ค. ปลุกเชื่อมั่นปลอดภัย

นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า จากแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยปี 2566 ไม่เป็นไปตามคาดหวัง การตั้งเป้าหมายของ ททท.ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนกลับมาสูงกว่า 8 ล้านคนในปี 2567 ถือเป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก โดยแอตต้ามองว่าต้องประเมินสถานการณ์ความเป็นจริงของตลาดจีนเที่ยวไทยอีกครั้งจากการจัดโรดโชว์ส่งเสริมการขายรายการนำเที่ยว “TAT & ATTA Road Show to China 2023” ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง แอตต้า กับ ททท. ระหว่าง 11-15 ธ.ค. 2566 ณ นครเซี่ยงไฮ้และนครเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน

“เบื้องต้นแอตต้าประเมินว่าปี 2567 น่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามา 5-6 ล้านคน เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีนี้ ส่วนจะไปถึงเป้าหมายของ ททท. ที่ตั้งไว้กว่า 8 ล้านคนหรือไม่นั้น ยังต้องดูสถานการณ์ความเป็นจริงก่อน โดยคาดหวังว่าการจัดโรดโชว์ครั้งนี้จะช่วยปลุกความเชื่อมั่น โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยที่ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวจีนยังกังวล เพื่อดึงตลาดกรุ๊ปทัวร์จีนกลับมาเที่ยวไทยในช่วงตรุษจีน เดือน ก.พ.ปีหน้าให้ได้”