ผ่า Passion Investment ผ่านมุมมอง ‘ณัฐกร เอื้ออมรรัตน์’ ทายาทธุรกิจจิวเวลรี่

ผ่า Passion Investment  ผ่านมุมมอง ‘ณัฐกร เอื้ออมรรัตน์’ ทายาทธุรกิจจิวเวลรี่

ในโลกยุคใหม่ หลายคนต้องการเป็น “นักลงทุน” ที่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางการเปย์เงินแล้วได้ผลตอบแทนกลับมาอย่าง “คุ้มค่า” ทว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” กลายเป็น “ด่าน” หรืออุปสรรคที่ทำให้นักลงทุนประสบความล้มเหลวได้

หลักสูตร Wealth Of Wisdom (WOW) รุ่น 3 ยังคงมีนักธุรกิจ นักลงทุนมากหน้าหลายตาจากหลากสาขาเข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้ตลอดจนสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีเพื่อต่อยอดธุรกิจในอนาคต

กรุงเทพธุรกิจชวนคุยกับ ณัฐกร เอื้ออมรรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เกียรติ อินเตอร์เนชันแนล จำกัด บริษัท สยามเวลล์จิวเวลรี่ แมนูแฟคเจอเรอร์ จำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด เกียรติรัตน์ เจมส์ กับบางอย่างที่ให้บทเรียนความ “สำเร็จ” และ “เจ็บ” แล้ว “จำ”

  • พลิกธุรกิจติดลบ

“ต้น ณัฐกร เอื้ออมรรัตน์” เป็นทายาทคนโตของธุรกิจผลิตเครื่องรูปพรรณเพชร พลอย ที่คุณพ่อปลุกปั้นมา 45 ปี ปัจจุบันทำหน้าที่บริหารกิจการครอบครัวร่วมกับพี่น้อง 5 คน โดยแบ่งบทบาทการทำงานตรงกับหลักบริหาร หรือ คัมภีร์การขับเคลื่อนธุรกิจของพ่อที่ต้องเก่ง รอบรู้ 5 ด้าน ได้แก่ การผลิต การบริหารจัดการ ทรัพยากรมนุษย์ การตลาด และการเงิน

การร่วมบริหารธุรกิจครอบครัว เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต เพราะเข้ามาช่วงกิจการมีปัญหาใหญ่แบกภาระหนี้สินมูลค่าหลัก “ร้อยล้านบาท” ซึ่งต้องหาทางทำให้ตัวเลข “พ้นวิกกฤติ” เพื่อก้าวต่อไป

พลันที่เรียนจบด้านบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ (MBA) จากมหาวิทยาลัยระดับท็อปของสหรัฐ University of California กลับมาไทยคาดหวังว่าโลกจะสวย ต้องมาเจอธุรกิจมีปัญหา

“เป็นการทดสอบเราสดๆ ร้อนๆ เลย จึงงัดทุกอย่างที่เรียนมา นำไปใช้ตอนนั้น  ผมมองโอกาส แม้เราเผชิญวิกฤติจริง”

ขณะนั้นจึงมองหาอาวุธที่มี กิจการร้านเพชร มีวัตถุดิบเพชรในการผลิต วิชาชีพช่าง บุคลากร ฯลฯ รวบรวมไว้ แล้วดู “อุปสรรค” คือ “หนี้มหาศาล” และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง จึงชั่งน้ำหนัก เลือก “หนทางรอด” ด้วยการปลดหนี้เป็นสิ่งแรก

การขับเคลื่อนธุรกิจขณะนั้นไม่กู้หนี้ยืมสิน แต่ใช้กระแสเงินสดที่มี เดินหน้าสร้างสรรค์เครื่องประดับ สินค้าให้หลากหลาย รักษาตลาดเก่า ป้อนสินค้าเจาะตลาดใหม่ ภายใน 3 ปี แก้ตัวเลขจากติดลบแดงให้เป็นศูนย์

“พอตัวเลขเป็นศูนย์ไม่ต้องมีหนี้แล้ว ใจชื้น!” จากนั้นใช้เวลาอีก 3 ปี สร้างกระแสเงินสด กองทัพลูกค้า รวม 6 ปีที่สร้างรากฐานธุรกิจใหม่และแข็งแกร่ง 4 ปีถัดมากิจการเติบโตก้าวกระโดด

  • ถึงเวลาลุยทุ่มเททำสิ่งที่รัก

วิกฤติผ่านพ้น เดินหน้าทำในสิ่งที่รักบ้าง โดย 3-4 สิ่งที่ “ต้น ณัฐกร” เทใจ เงิน และเวลาให้ ได้แก่ พระเครื่อง นาฬิกา ไวน์ และรถโบราณ

เป็นทายาทคนโต พ่อถ่ายทอดคัมภีร์การลงทุนแบบ “เรียนรู้เอง เจ็บจริง” อย่าง “พระเครื่อง” ในวัยมัธยมที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย หลังเลิกเรียน พ่อห้าม! ไม่ให้หนีไปเตะฟุตบอล แต่ต้อง “ส่องวัตถุโบราณ” รวมถึง “พระเครื่อง” ก่อน 1 ชั่วโมง เพราะเชื่อในศักยภาพสายตาสดใหม่ และเป็นกุศโลบายให้รู้เรื่องมวลสารต่างๆ ที่ส่งผลต่อการส่องเพชร ในฐานะรับผิดชอบจัดหาวัตถุดิบด้วย

“เนื้อมวลสารของพระเครื่อง วัตถุต่างๆ ไม่โกหกเรา”

การดูพระสมเด็จวัดระฆังคือจุดเริ่มต้น ทว่า เมื่อเก่งกล้า จึงลองวิชา ลงทุนพระเครื่องหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ในราคา 250 บาทเพื่ออวดพ่อ

“ตอนนั้นตื่นเต้นที่สุดในโลก ได้ลองวิชา บอกป๊า..นี่ต้นเช่าพระเครื่องหลวงปู่โต๊ะวัดประดู่ฉิมพลีมา ป๊าดูมั้ย! แท้มั้ย” ป๊าบอกไม่ต้องส่องเพราะแท้ เก่งมากเลย พร้อมตอบให้คิด “ต้นองค์นี้ป๊าเช่าได้ประมาณ 180 บาท ต้นจะขายป๊ามั้ย” และแนะให้กลับไปขายที่ร้าน ซึ่งราคา 180 บาทจริงๆ 

“ตอนนั้นยังไม่รู้กำไรขาดทุน แต่ทำให้รู้ว่าไปโชว์พาวโดยไม่ปรึกษาคุณพ่อก่อน และเรียนรู้ด้านมูลค่าที่แท้จริงของการลงทุน”

การคร่ำหวอดในวงการพระเครื่อง “ต้น ณัฐกร” มีฉายา “ต้น หลังวัง” พ่อตั้งให้ แต่ยังถ่อมตัวไม่อยากให้เรียนเซียน ขอเป็นแค่ “ผู้ชำนาญการในสิ่งที่รัก”

  • Passion นาฬิกาเจาะลึกถึงกลไก

ขณะที่การลงทุนเปย์ให้กับ “นาฬิกา” เกิดจากความบังเอิญทำนาฬิกา Bulova ของพ่อหล่นฝาหลังเปิด ทำให้เห็นกลไก และหลงใหลเสียง “ติ๊กต๊อก” ของเรือนแห่งเวลา จึงเสาะหาข้อมูล เรียนรู้เรื่องราวนาฬิกาแบบเจาะลึก

แม้การลงทุนนาฬิกาเรือนแรก จะเน้นเท่ห์ตามประสาวัยรุ่นนักศึกษาปี 4 ซื้อ TAG Heuer ราคา 42,500 บาทที่เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ปัจจุบันราคาเหลือราว 20,000 บาท เรียกว่าจำแม่นและเล่าอย่างฉะฉาน

“เมื่อธุรกิจครอบครัวตัวเลขเป็นศูนย์กลับไปดูว่าเรารักอะไร และเริ่มศึกษานาฬิกาเก่า เวลาไปขายงาน ขยายตลาดต่างประเทศจะเดินย่านขายนาฬิกาโบราณ เสียงติ๊กต๊อกเพราะมาก ผมสามารถอยู่ถนนเส้นเหล่านี้ได้เป็นเดือนโดยไม่ต้องกลับบ้านก็ยอมนะ”

Rolex เรือนแห่งกาลเวลาของนักสะสม “ต้น ณัฐกร” อ่านเรื่องราวของแบรนด์ ผู้ก่อตั้งแบบเจาะลึก ไม่เพียงรู้ประวัติศาตร์ความเป็นมา แต่เห็นว่าแบรนด์ทำสิ่งต่างๆ เพื่อสังคม ไม่แค่มิติธุรกิจ จึงทำให้กลายเป็นแบรนด์แกร่งที่ผู้ครองใจคนรักนาฬิกาทั้งโลก

“เรื่องราวของ Rolex ทำให้ผมอยากเรียนรู้ถึงที่สุดของกระบวนการผลิตนาฬิกา ประทับใจและสร้างประวัติศาสตร์ให้โลกจริงๆ”

  • แอบเปิดไวน์ Opus One ของพ่อ จุดประกายลงทุน

การลงทุนไวน์ เป็นอีกความบังเอิญสมัยเป็นนักศึกษา เมื่อพ่อทิ้งไวน์ “Opus One” ราคาราว 8,000 บาท ซึ่งเป็นสุดยอดแบรนด์ไวน์ของโลกจากสหรัฐ จึงแอบเปิดได้กลิ่นครั้งแรกหอม ผ่านไป 10 นาที มีกลิ่นวานิลลา เลยดื่มจนหมด กลับบ้านต้องสารภาพผิดกับพ่อ เพราะเป็นของขวัญเตรียมนำไปให้ญาติ

“ผมก็ดื่มอึกๆ เลยนะ มันอร่อยจริงๆ (เสียงหนักแน่น) ช่างเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยอะไรอย่างนี้ ทำไมป๊าไม่แบ่งเรา เอาไปให้คนอื่นทำไม”

เมื่อมีโอกาสไปเรียนต่อที่สหรัฐ “ณัฐกร” ใช้โอกาสไปเยือน NAPA Valley แหล่งไวน์ที่คนรักไวน์ต้องไปสัมผัส เมื่อทำงานฝรั่งเศส ยังใช้เวลาไปดูแหล่งไวน์ Chateau และสัมผัส เทสต์ไวน์ เป็นต้น

“ผมทำแบบนี้อยู่ 3 ปี ทำให้เรียนรู้เรื่องไวน์จริงๆ ตั้งแต่ดิน ต้นองุ่น ลูกองุ่น ชาโตว์ การบรรจุ ประมูล เทสต์ และซื้อไวน์เพื่อการลงทุน”

  • ความเสี่ยงป้องกันได้ด้วย “รู้จริง”

การลงทุนผู้คนมักมองความสำเร็จ แต่ “ความล้มเหลว” เคียงข้างเสมอ”ต้น ณัฐกร” เคยลงทุนซื้อไวน์ล็อตหนึ่ง 5 ล้านบาท ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ เพราะขายได้ 15 ล้านบาท แต่ก็เจ็บจากการลงทุนไม่น้อย เช่น ลงทุนพระเครื่องเจ็บตัวหลัก “สิบล้านบาท” ขาดทุนจากไวน์ที่ซื้อไว้ล็อตละ 7 ล้านบาท พลาดราคาตกเหลือ 2.7 ล้านบาท เป็นต้น

เพื่อป้องกันความเสี่ยง กุญแจสำคัญที่นักลงทุนต้องทำ คือ หมั่นศึกษาหาความรู้เรื่อในสิ่งที่รักอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน 3 สิ่งที่รัก ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงได้ดีด้วย เพราะบางช่วงของสะสมอาจไม่นิยม จึงมีอีกหมวดประคอง

“ในเรื่อง Passion Investment สิ่งที่ผมรู้แล้ว จะอ่านซ้ำอีก ผมจะใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพ ถ้าเราบอกไม่มีเวลาทำสิ่งที่รัก แสดงว่าเรารักสิ่งนั้นไม่มากพอ”

อย่างไรก็ตาม ในฐานะมาเรียนหลักสูตร WOW รุ่น 3 มีเรื่องราวดีๆ ในการสานสายสัมพันธ์ สร้างเครือข่ายคนดีๆ นักธุรกิจที่ดี เพื่อหวังลดทอนสิ่งที่ไม่ดีลง รวมถึงยังก่อให้เกิดไอเดีย การรวมพลังสร้างสรรค์สิ่งใหม่ในยุค Me Too ที่สินค้า ธุรกิจซ้ำกันดาษดื่น

“การเรียนหลักสูตร WOW ได้เพื่อนดีๆ ในมุมสาขาต่างๆ เพลิดเพลินกับการเรียนรู้เพื่อนำไปต่อยอดองค์กร เพราะคนๆ เดียวไม่สามารถรู้และทำได้ทุกอย่าง และผมเชื่อในการสร้างเน็ตเวิร์กที่ดี”