ผ่าแผน‘จิม ทอมป์สัน’ มุ่งแบรนด์ไลฟ์สไตล์โลก รายแรกของเอเชีย
“จิม ทอมป์สัน” เดินหน้าพลิกธุรกิจทำ “กำไร” แซงปี 60-62 รวมกัน พร้อมเปิดบ้าน “Jim Thompson Heritage Quarter” อาณาจักรไลฟ์สไตล์เต็มรูปแบบ หลังปรับโฉมใหม่ นำแฟชั่น ของแต่งบ้าน ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ตอบโจทย์คนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
กางแผน 3-5 ปี ต่อยอดแบรนด์สู่โรงแรม เน้นขยายสินค้าแต่งบ้าน ผนึกฮอลลีวู้ด หาสตูดิโอลงทุนมินิซีรีส์ เล่าเรื่องราวผู้ก่อตั้งแบรนด์ให้โลกรู้ ต่อจิ๊กซอว์ใหญ่สู่แบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ระดับโลกรายแรกจากเอเชีย ปี 2568 หวังสร้างมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์
นายแฟรงก์ แคนเซลโลนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด แบรนด์จิม ทอมป์สัน เปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายในการผลักดันแบรนด์จิม ทอมป์สัน ให้ก้าวสู่การเป็นแบรนด์ไอคอนิก ไลฟ์สไตล์ระดับโลกรายแรกของเอเชีย โดยวางกลยุทธ์เพื่อผลักดันภารกิจดังกล่าวหลากหลายด้าน โดยเฉพาะการปรับโฉม Jim Thompson Heritage Quarter เป็นอาณาจักรที่รวบรวมไลฟ์สไตล์ครบวงจรทั้งสินค้าเสื้อผ้า แฟชั่น ร้านอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าตกแต่งบ้าน ตลอดจนศิปวัฒนธรรม ให้เป็นจุดหมายปลายทางหรือเดสทิเนชั่นของนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ
- 10 เดือน กำไรเพิ่ม 45% เทียบปี 62
การปรับโฉม Jim Thompson Heritage Quarter ยังสร้างความสำเร็จด้านความสามารถในการทำกำไรช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งที่จำนวนนักท่องเที่ยวยังลดลง 25% นอกจากนี้ สินค้าที่มีการปรับให้มีความทันสมัย เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายให้กว้าง โดยเฉพาะคนไทย ซึ่งหลังจากทำวิจัยตลาดพบว่า 91% รู้จักแบรนด์ และ 99% ชื่นชอบแบรนด์จิม ทอมป์สันด้วย
The O-S-S Bar
สำหรับก้าวต่อไปในการทำตลาดแบรนด์จิม ทอมป์สัน ปี 2567 กลุ่มธุรกิจแฟชั่น จะเปิดร้านใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับพันธมิตร คิง เพาเวอร์ เปิดร้านใหม่ที่สนามบินดอนเมือง และสนามบินภูเก็ต การผนึกโครงการวัน แบงค็อกเปิดไลฟ์สไตล์สโตร์ขนาดใหญ่รูปแบบดูเพล็กซ์หรือ 2 ชั้น พื้นที่ 500 ตารางเมตร โดยภายในร้านจะมีทั้งการจำหน่ายเสื้อผ้าและร้านอาหารจิมส์ เทอร์เรซ (Jim's Terrace) ให้บริการแก่ลูกค้า
นอกจากนี้ บริษัทจะปรับปรุงร้านจิม ทอมป์สัน สาขาสุรวงศ์ ซึ่งเป็นแฟล็กชิป ให้มีร้านอาหาร คาเฟ่ และเป็นแหล่งร่วมมือกับดีไซน์เนอร์แฟชั่นต่างๆ มาจัดกิจกรรม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งการปรับโฉมดังกล่าวคาดแล้วเสร็จปลายปี 2568
ปัจจุบันร้านจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ของจิม ทอมป์สัน มีให้บริการ 25 สาขา ในอนาคตวางแผนจะเปิดให้มีจำนวน 30-35 สาขา
- ขยายตลาดออนไลน์ต่างประเทศ
ขณะเดียวกันบริษัทจะขยายตลาดไปยังต่างประเทศในรูปแบบออนไลน์ โดยจะพัฒนาเว็บไซต์สำหรับท้องถิ่น เพื่อจำหน่ายสินค้า และวางแผนจะสร้างคลังสินค้า เพื่อรองรับการส่งสินค้าให้แก่ผู้บริโภคภายใน 24 ชั่วโมงด้วย สำหรับตลาดเป้าหมายจะเป็นสิงคโปร์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น
ด้านธุรกิจสินค้าผ้าตกแต่งบ้าน จะเห็นการบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตะวันออกกลาง และเอเชีย เนื่องจากมีศักยภาพสูง จากการลงทุนสร้างธุรกิจพักผ่อน โดยเฉพาะโรงแรมจำนวนมาก เบื้องต้นจะเห็นการปักหมุดในประเทศสิงคโปร์ ทั้งนี้จุดเด่นของสินค้าผ้าแต่งบ้านของจิม ทอมป์สัน มีผ้าตกแต่งผนังหรือวอลเปเปอร์ ผ้าบุฟอร์นิเจอร์ เช่น โซฟา หมอนต่างๆ และเน้นเจาะลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (B2B) เป็นหลัก ซึ่งราว35% ของโรงแรมชั้นนำระดับโลกในลิสต์ The World’s 50 Best Hotels ได้เลือกใช้สินค้าผ้าตกแต่งของจิม ทอมป์สัน เช่น แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ, เดอะ สยาม, โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ, เชอวัล บลังก์ ปารีส, ปาร์ก ไฮแอท ว็องโดม ปารีส, เดอะ ซาวอย ลอนดอน, ปาร์ก ไฮแอท มิลาน เป็นต้น
“จิม ทอมป์สัน มีโชว์รูมสินค้าผ้าตกแต่งบ้านอยู่ในเมืองใหญ่ ได้แก่ กรุงเทพฯ ลอนดอน แอตแลนตา นิวยอร์ก และปารีส ขณะที่เครือข่ายการจัดจำหน่ายมีอยู่ในกว่า 60 ประเทศทั่วโลก”
ส่วนธุรกิจร้านอาหารได้ปั้นโมเดลร้านอาหารจิม ทอมป์สัน รวมกับบาร์แบรนด์ The O.S.S.Bar ให้บริการลูกค้า ซึ่งโมเดลดังกล่าวจะนำไปขยายในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะเอเชียอีกครั้ง เช่น ญี่ปุ่น หลังจากโควิดระบาด ทำให้บริษัทต้องปิดร้านในต่างแดน สำหรับแผนงานดังกล่าว บริษัทจะใช้งบลงทุน 100-150 ล้านบาท เพื่อขยายธุกิจ
นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผน 3-5 ปี ต่อยอดธุรกิจเดิม และขยายธุรกิจการบริการ (Hospitality) ด้วยการนำแบรนด์จิม ทอมป์สัน ปั้นเป็นแบรนด์โรงแรมและรีสอร์ท เน้นบูทีคโฮเทล ซึ่งโมเดลธุรกิจบริษัทจะไม่ลงทุนเอง แต่ให้พันธมิตรนำแบรนด์ไปใช้ รูปแบบดังกล่าวมีแบรนด์ระดับโลกอย่างอาร์มานี ที่ดำเนินการอยู่ นอกจากนี้ยังรุกตลาดสินค้าตกแต่งบ้าน ภายใต้แบรนด์ “Maison Jim Thompson”
- ผนึกฮอลลีวู้ดปั้นซีรีชีวประวัติ "จิม ทอมป์สัน"
กลยุทธ์การสร้างการรับรู้แบรนด์จิม ทอมป์สัน สู่ระดับโลก ยังเดินหน้าผนึกทีมงานสร้างสรรค์ในฮอลลีวู้ด เพื่อผลิตมินิซีรีส์นำเสนอชีวประวัติชีวิตของ “เจมส์ แฮร์ริสัน วิลสัน ทอมป์สัน” ผู้ก่อตั้งแบรนด์ จิม ทอมป์สัน สถาปนิกจากนิวยอร์กที่เคยเป็นทหารประจำสำนักงานยุทธศาสตร์หรือ OSS ปัจจุบันคือ CIA ซึ่งผลักดันผ้าไหมไทยให้ก้าวสู่สากล และได้รับการยกย่องเป็นราชาไหมไทย
“ตอนนี้เราร่วมมือกับทีมงานฮอลลีวู้ดเพื่อเขียนสตอรีบอร์ดแล้ว และกำลังหาค่ายหรือสตูดิโอ แพลตฟอร์มสตรีมมิงเป็นผู้เข้ามาลงทุน สำหรับมินิซีรีส์ชีวประวัติของจิม ทอมป์สัน จะมี 10 ตอน ความยาวตอนละประมาณ 50 นาที คาดว่าผลงานจะเห็นในปี 2567”
นักท่องเที่ยวจากนิวยอร์กกำลังชมเรื่องราวราชาไหมไทย "จิม ทอมป์สัน"
สำหรับภาพรวมการเติบโตปี 2566 คาดการณ์กำไรจะสูงกว่าปี 2560-2562 รวมกัน และพลิกจากสถานการณ์ขาดทุน ที่เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 ระบาด
“การเติบโตของกำไร สำคัญกว่ารายได้ สิ้นปีนี้กำไรเราจะเติบโตกว่า 3 ปีรวมกันคือปี 2560-2562 โดย 2 เดือนสุดท้ายแนวโน้มตลาดยังมีความคึกคักมาก ส่วนแผนงานปีหน้าเราหวังจะสร้างมูลค่าแบรนด์ให้แตะ 100 ล้านดอลลาร์ด้วย”
อย่างไรก็ตามปี 2566 มีตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทยออกมาค่อนข้างต่ำ เช่น ไตรมาส 3 เติบโต 1.5% และการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2567 จะชะลอตัว แต่บริษัทมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งกับเศรษฐกิจไทย เพราะมีแรงส่งสำคัญจากการลงทุนของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ส่วนเอกชนมีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่อย่าง วันแบงค็อก รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะปีหน้าคาดการณ์จะมีนักท่องเที่ยวกลับมาเท่าปี 2562