‘ฟิลิป คอตเลอร์’ เตือนธุรกิจ ฟันธง 5 ปี ไม่มุ่งยั่งยืน ไม่ปรับตัว จะพบจุดจบ

‘ฟิลิป คอตเลอร์’ เตือนธุรกิจ  ฟันธง 5 ปี ไม่มุ่งยั่งยืน ไม่ปรับตัว จะพบจุดจบ

World Marketing Forum ครั้งที่ 3 บทสรุปจากเวทีนักการตลาด โลกกำลังเข้าสู่การตลาด 6.0 โดยการตลาดยุคหน้า หัวใจ สร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า มุ่งสร้างมูลค่าสูงขึ้น พร้อมใส่คีย์เวิร์ด Meta Mitri Meetang

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (Marketing Association of Thailand) และ สหพันธ์การตลาดแห่งเอเชีย (Asia Marketing Federation) ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงาน “World Marketing Forum ครั้งที่ 3” วันที่ 16-17 พ.ย. ระดมกูรูการตลาดในไทยและทั่วโลกฉายภาพ จักรวาลการตลาดยุคใหม่ “The New Marketingverse : Meta Mitri Meetang” ถอดรหัส “เมตา” และ “ไมตรี” จะทำให้เรา “มีตังค์” ได้อย่างไร เมื่อโลกดิจิทัลและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น

ศาสตราจารย์ ฟิลิป คอตเลอร์ ปรมาจารย์การตลาด กล่าวในหัวข้อ “A Lifetime of Marketing Wisdom Through the Winds of change” ปัจจุบันการตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก นักการตลาดต้องปรับตัวให้ทัน พร้อมมุ่งให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืน 

ทั้งนี้ มีหลายปัจจัยเปลี่ยนแปลงรวดเร็วทั้งเทคโนโลยี โลกร้อน มีผลต่อการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แบรนด์ต้องหันโฟกัสความยั่งยืนมากขึ้น พฤติกรรมของผู้บริโภคเน้นใช้อารมณ์มากขึ้น จึงต้องใช้ ดาต้า แมชชีน เลิร์นนิ่ง มาผสมผสาน ขณะที่ ตลาดอีคอมเมิร์ซ กำลังเติบโตเร็วมาก ทำให้ในอนาคตสัดส่วนออนไลน์และออฟไลน์จะเท่ากันที่ 50%

เทรนด์หลักที่นักการตลาดต้องรู้ ประกอบไปด้วย 4A ที่เน้นการสร้างคุณค่า ทั้ง Awareness Accessibility Acceptability Affordability เป็นจุดเริ่มต้น ต่อมาพร้อมด้วย 4P มีทั้ง Product Price Place Promotion พร้อมด้วย 4C ประกอบด้วย Company Customers Collaborators และ Competitors ตามมาด้วย STP เป็นการจัดทำ Segmentation, Targeting and Positioning ต่อมาด้วย 5A ที่มีทั้ง Aware, Appeal, Ask, Act and Advocate ทั้งหมดเป็นกระบวนการในการทำตลาด ที่นักการตลาดจะต้องรู้ เพื่อให้สามารถจัดทำกระบวนการการตลาดได้อย่างครบกระบวนการทั้งหมด

‘ฟิลิป คอตเลอร์’ เตือนธุรกิจ  ฟันธง 5 ปี ไม่มุ่งยั่งยืน ไม่ปรับตัว จะพบจุดจบ

การตลาดที่กำลังเข้าสู่ยุค Marketing 6.0 ประกอบด้วย การสร้าง Spirit การร่วมสร้างแรงบันดาลใจ การสร้างคุณค่าในการเติบโต การร่วมส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม และร่วมสร้างสิ่งที่มีความสุขให้แก่ลูกค้า (Human Happiness) ทิศทางในอนาคต ผู้บริโภคต่างต้องการเลือกแบรนด์ที่ดีสุด โดยไม่ต้องอิงโฆษณา หรือ โฆษณาไม่มีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า มาจากผู้บริโภคหาข้อมูลได้เอง และการมาของ Martech จะทรงพลังมากขึ้น 

ความสำเร็จการทำตลาดในอนาคต ต้องประกอบด้วย การกำหนดราคาแบบชาญฉลาด การสร้างแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่ง และมีช่องทางจัดจำหน่าย รวมถึงต้องทำการตลาดด้วยความสร้างสรรค์ ผสมผสานด้วย customer journey mapping, touchpoint marketing, persona, content and influencer รวมถึงการใช้เครื่องมือการตลาดแบบสมัยใหม่มาร่วมคาดการณ์และวิเคราะห์ข้อมูล และการใช้แมชชีน เลิร์นนิง มากำหนดความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจง

“สิ่งสำคัญคือ ผู้ประกอบการต้องรู้ไว้ ในอนาคต 5 ปีข้างหน้า ถ้าคุณยังทำธุรกิจแบบเดิมอยู่ คุณจะต้องถูกออกจากตลาดเกมการแข่งขันไป และหากคุณไม่ได้ผสมผสานความยั่งยืนเข้าไปในธุรกิจ ไม่สร้างผลกระทบบวกต่อโลก ก็จะออกจากตลาดไปเช่นกัน หรือ ต้องจบจากการดำเนินธุรกิจไปแน่นอน”

‘ฟิลิป คอตเลอร์’ เตือนธุรกิจ  ฟันธง 5 ปี ไม่มุ่งยั่งยืน ไม่ปรับตัว จะพบจุดจบ

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจและการตลาดเผชิญการเปลี่ยนแปลงมากมายเกินความคาดหมาย ขณะที่การตลาดแห่งอนาคต นักการตลาดต้องก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่มีความท้าทายในจักรวาลดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงขยายสู่โลกเสมือนจริงหรือเมตาเวิร์ส ปฏิวัติการเชื่อมต่อของผู้คนในโลกแห่งความจริงให้ใกล้ชิดมากขึ้น การเกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ กลายเป็นเครื่องมือการตลาดที่สร้างประสบการณ์ให้กับผู้โภคอย่างไม่เคยมีมาก่อน ยิ่งกว่านั้นทำให้ผู้บริโภคมีความต้องการที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น

ปัจจัยข้างต้น ธุรกิจและนักการตลาดต้องปรับตัวให้สอดรับการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยี มาใช้เป็นครื่องมือขับเคลื่อนธุรกิจและการตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย พร้อมกันนี้แนะจักรวาลการตลาดยุคใหม่ผ่าน 3 ศาสตร์สำคัญ ได้แก่ “เมตา” และ “ไมตรี” จะทำให้เรา “มีตังค์”

“การทำตลาดต้องมีความเมตตา มีไมตรีสร้างโลกที่งดงาม หากผสาน 2 สิ่งได้ จะทำให้เรามีตังค์ หรือร่ำรวย เป็นจักรวาลตลาดแบบใหม่ ที่จะพาธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน”

‘ฟิลิป คอตเลอร์’ เตือนธุรกิจ  ฟันธง 5 ปี ไม่มุ่งยั่งยืน ไม่ปรับตัว จะพบจุดจบ

ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หัวหน้าภาควิชาการตลาด ประธานหลักสูตรปริญญาโทด้านแบรนด์และการตลาด คณะบัญชีฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, อุปนายกฝ่ายกิจกรรม การสื่อสาร และการตลาดยั่งยืน สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จักรวาลการตลาดยุคใหม่ ที่ดำเนินกลยุทธ์ด้วยการใช้ เมตตา (Meta) และไมตรี (Mitri) เป็นแรงหนุนสำคัญสร้างธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ร่วมเป็นพลังขับเคลื่อนความสำเร็จทางธุรกิจ และสร้างผลลัพธ์ที่สำคัญคือ เกิด มีตังค์ (Meetang)

จากผลสำรวจการใช้กลยุทธ์ทั้ง เมตตา และไมตรี สามารถสร้างผลทางบวกต่อธุรกิจในสกอร์ระดับสูงมาก จึงเป็นการวางแผนการตลาดที่ผู้ประกอบการควรนำมาวางแผนการดำเนินธุรกิจในระยะต่อไป

อีวาน เชเตียวาน ผู้ร่วมประพันธ์หนังสือ “Marketing 6.0 The Future is Immersive” กับ ฟิลิป คอตเลอร์ และ Hermawan Kartjaya กล่าวว่า การตลาดกำลังเข้าไปสู่ “Marketing 6.0 : The Future is Immersive” โดยมีโลก Marketingverse ที่ไม่มีเส้นกั้นพรมแดน ผสมผสานด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ AR และ VR เข้ามาร่วมสร้างประสบการณ์เชื่อมโยงให้แก่ลูกค้าแบบไร้พรมแดน

ด้าน Paul Carvouni ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ ไมโครซอฟต์ อาเซียน กล่าวถึงยุคแห่งเอไอ (Era of AI) ว่า ปัจจุบันโลกการตลาดเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าอดีตมาก เทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ มีบทบาทมากขึ้นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างการเติบโตอัตราเร่ง เพิ่มถึง 20 เท่า จาก 30-40 ปีก่อน ส่วนธุรกิจเอไอจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น

ด้านความกังวลของนักการตลาดที่มองเอไอจะเข้ามาแย่งงานมนุษย์ ขอย้ำว่าไม่ต้องกลัว เพราะเอไอจะช่วยปลดล็อกศักยภาพ ขีดความสามารถต่าง เพื่อช่วยงานง่ายๆ งานธรรมดาของ “คน” มากกว่า เพื่อให้คนไปคิดงานสร้างสรรค์ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ