‘ฮิตาชิ’ ย้ำไทยฮับใหญ่สุดในโลก รุกหนักเครื่องใช้ไฟฟ้า มุ่งเป้าสู่ท็อปทรี
อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์ ประกาศแผนรุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า ‘ฮิตาชิ’ ในไทย เดินหน้ากลยุทธ์ใหม่ ส่งโกลบอลแคมเปญ ขยายเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ 361 รุ่น วางเป้าดันแบรนด์ ฮิตาชิ สู่ท้อปทรีในไทย ย้ำไทยฐานผลิตสำคัญ และใหญ่สุดในโลก
ยักษ์ใหญ่เครื่องใช้ไฟฟ้าจากประเทศญี่ปุ่น “ฮิตาชิ” (Hitachi) ที่เข้ามาลงทุนในไทยประมาณกว่า 50 ปีแล้ว ในปัจจุบันประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญและใหญ่สุดของ ฮิตาชิ ในทั่วโลก
ส่วนพนักงานในไทย ทั้งฝ่ายผลิต ฝ่ายวิจัยและพัฒนาสินค้า ทีมวิศวกร และฝ่ายต่างๆ รวมกว่า 5,970 คน โดยไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและมีการส่งออกไปใน 65 ประเทศทั่วโลก
ในช่วงปี 2564 ได้มีการก่อตั้ง บริษัท อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์ โดยเป็นบริษัทที่ร่วมทุนระหว่าง บริษัท อาร์เซลิก (Arcelik A.S.) และ บริษัท ฮิตาชิ โกลบอล ไลฟ์ โซลูชันส์ (Hitachi Global Life Solutions, Inc.) เพื่อผลิต จัดจำหน่าย และให้บริการหลังการขายของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่เป็นแบรนด์ฮิตาชิทั่วโลก ที่นอกตลาดญี่ปุ่น รวมถึงตู้เย็น เครื่องซักผ้า และเครื่องดูดฝุ่น
โดย บริษัท อาร์เซลิก เข้าถือหุ้น 60% ในบริษัทใหม่ ส่วน บริษัท ฮิตาชิ โกลบอล ไลฟ์ โซลูชันส์ ถือหุ้น 40% เพื่อผนึกกำลังขับเคลื่อนเครื่องใช้ไฟฟ้า
ซาแฟร์ อัสทูเนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์ จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของฮิตาชิที่มีขนาดใหญ่สุดในโลก ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า และตลาดไทยเป็นยุทธศาสตร์หลักในการผลิตสินค้าต่อไปในระยะยาว แม้ว่า รัฐบาลจะวางนโยบายปรับขึ้นค่าแรงในอนาคต แต่ ฮิตาชิ ได้มุ่งให้ความสำคัญในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าอย่างสูงสุด และร่วมยกระดับทักษะ ความสามารถของพนักงานไปพร้อมกัน
นโยบายของบริษัทยังมุ่งมั่นในการพัฒนาและวิจัยสินค้า การรุกเปิดตัวสินค้ากลุ่มใหม่ และสร้างนวัตกรรมให้แก่สินค้า การสร้างโรงงานสู่ eco-friendly และ innovative technologies เพื่อผลักดันการเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดไทยและในตลาดโลก ขณะที่ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัวแล้ว ภายหลังจากโควิดคลี่คลายไป ซึ่งประเมินว่าในปีต่อไป ตลาดจะกลับมาขยายตัวที่ดีมากขึ้น
“การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตมีความสำคัญอย่างมาก ที่ต้องร่วมยกระดับการผลิต พร้อมกับเพิ่มทักษะของพนักงานให้มากขึ้น ทั้งหมดมีความสำคัญต่อการผลิตในระยะยาว”
แผนในไทยอนาคต พร้อมขยายการลงทุนต่อเนื่อง และขยายผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ๆ รวมถึงการนำเข้าวัตถุดิบที่หลากหลายจากทั่วโลกเข้ามาร่วมผลิตในไทย โดยปัจจุบัน สัดส่วนการตลาดแบ่งเป็น ตลาดในประเทศ 15% และส่งออก 85% ซึ่งไทยเป็นประตูที่เชื่อมโยงการส่งออกไปทั่วประเทศรวม 65 ประเทศ
“คาซูชิ โคบายาชิ” ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์ จำกัด กล่าวถึง แผนการตลาดในประเทศไทยว่า ได้จัดทำโกลบอลแคมเปญ ‘The Art of Ease’ ที่ร่วมนำเสนอศิลปะการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และความสะดวกสบาย ผ่านโซลูชั่นเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เพื่อร่วมตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันของกลุ่มลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์
ขณะเดียวกันได้วางแผนการสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร 360 องศา ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ พร้อมเน้นกลยุทธ์การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง
ไฮไลต์ประจำปีกับการเปิดตัวเครื่องใช้ไฟฟ้า ฮิตาชิ รุ่นใหม่ในปีนี้ รวม 361 รุ่นที่สอดคล้องกับโกลบอลแคมเปญ โดยมีจำนวนสินค้าเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์หลักอย่างตู้เย็น ที่มีตู้เย็นพรีเมียมแบบ 4 ประตู 4 (Door Luxury French Bottom Freezer) ที่มีฟีเจอร์ Selectable Zone ช่องแช่อเนกประสงค์ ตู้เย็นฮิตาชิ คาร์บอน ไลน์ (Hitachi Carbon Line Series) มีช่องแช่แบบ Flexible Fresh Select ที่เลือกปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับอาหาร
เครื่องซักผ้ารุ่น BD-D120XGV มาพร้อมฟีเจอร์เพื่อการซักผ้าที่มีประสิทธิภาพ และเทคโนโลยีการตรวจจับอัจฉริยะ 8 ขั้นตอน (Intelligent Wash) เครื่องซักผ้ารุ่น BD-100XFVEADM ที่มีฟีเจอร์ครบ เครื่องอบผ้าระบบปั๊มความร้อนรุ่นใหม่จากฮิตาชิ TD-100XFVEM มีดีไซน์สุดล้ำ และเครื่องดูดฝุ่นฮิตาชิ รุ่น PV-XH3M ซึ่งมีน้ำหนักเบา 1.8 กิโลกรัม รวมถึงมีการเปิดตัวเครื่องล้างจานเป็นครั้งแรก
“บริษัทได้ทำการวิจัยเชิงลึกของผู้บริโภคภายหลังสถานการณ์โควิด พบว่า ผู้คนให้ความสำคัญกับความเรียบง่าย ความสงบสุข และความปลอดภัย ผู้คนในเมือง โหยหายความสนุก ทำให้ฮิตาชิ ได้ทำการพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ ที่จะเชื่อมโยงความต้องการของกลุ่มลูกค้า และตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวัน”
ทั้งนี้ บริษัทได้วางกลยุทธ์การตลาดครั้งใหม่ในไทย และการเปิดตัวเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยออกมาสู่ตลาด จะผลักดันทำให้ภาพรวมยอดขายในไทยขยายตัวได้ดี รวมถึง ทำให้แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าฮิตาชิ ก้าวสู่ท็อปทรีของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยทุกรายการ รวมถึงครองใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ในทุกเจนเนอเรชั่น