‘มิสทิน’ เส้นทางโตสู่ทศวรรษที่ 3 ยึดเบอร์หนึ่งตลาดจีน สร้างยอดขายนิวไฮ

‘มิสทิน’ เส้นทางโตสู่ทศวรรษที่ 3 ยึดเบอร์หนึ่งตลาดจีน สร้างยอดขายนิวไฮ

มิสทิน แบรนด์เครื่องสำอางและความงาม เปิดเส้นทางการโตครั้งใหม่ในตลาดโลก มุ่งเป้าหมายความงามอย่างยั่งยืน พร้อมรุกตลาดในจีน ชี้ตลาดโตสร้างยอดขายนิวไฮครั้งประวัติศาสตร์ 'ครีมกันแดด' ครองใจอีคอมเมิร์ซ สู่อันดับหนึ่งในแพลตฟอร์ม

'มิสทิน' (Mistine) แบรนด์เครื่องสำอางและความงาม ที่อยู่เคียงข้างตลาดไทยมายาวนานร่วม 35 ปีแล้ว ก่อตั้งโดย “ดร.อมรเทพ ดีโรจนวงศ์” อดีตประธานกรรมการ ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น ราชาขายตรงของเมืองไทย สร้างแบรนด์ มิสทิน จนติดตลาดในทั่วประเทศ พร้อมสร้างสโลแกนยอดนิยมกับคำว่า “นิ้ง..หน่อง มิสทินมาแล้วค่ะ” ทำให้ทุกคนต่างรู้จักสาว มิสทิน

ในยุคสองของมิสทิน ที่มีผู้บริหารรุ่นใหม่กับทายาทโดยตรงของ “ดร. อมรเทพ” กับ “ดนัย ดีโรจนวงศ์” ประธานกรรมการ บริษัท เบทเตอร์เวย์ จำกัด เข้ามาเคลื่อนทัพอาณาจักรเครื่องสำอางไทย พร้อมวางยุทธศาสตร์การเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางตลาดความงามไทยมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งนับเป็นตลาดเรดโอเซียน มีแบรนด์ใหม่และแบรนด์เก่าในตลาดมากมาย

“ดนัย ดีโรจนวงศ์” ประธานกรรมการ บริษัท เบทเตอร์เวย์ จำกัด กล่าวว่า ในปี 2566 กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 36 ของบริษัท โดยเข้าสู่การปรับกระบวนทัพทางธุรกิจครั้งสำคัญจากการมุ่งไปสู่ความยั่งยืน (Sustainable) ด้วยการวางระบบซัพพลายเชนใหม่ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ ทั้งหมดจะสอดคล้องกับเทรนด์ในตลาดโลกที่ทุกองค์กรต้องวางยุทธศาสตร์ไปสู่ความยั่งยืน

ทั้งหมดการปรับกระบวนของซัพพลายเชนใหม่ จึงเป็นการร่วมยกระดับสู่มาตรฐานระดับโลก และให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมลดคาร์บอนฟรุตฟริ้นท์ ในกระบวนการดำเนินงานทั้งหมด จึงส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาว ยกตัวอย่าง การนำวัตถุดิบข้าวหอมมะลิสกลนคร มาเป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ต้องมีกระบวนการผลิตที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทั้งหมด  

“โลกยุคใหม่การให้ความสำคัญกับ ซัพพลายเชนมีความสำคัญอย่างยิ่งขึ้น กลายเป็นเรื่องใหญ่ในระดับโลก ซึ่งหากทำสำเร็จจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่แบรนด์ในระยะยาว”

แผนงานในครึ่งปีหลัง พร้อมแผนเปิดตัวเครื่องสำอางคอลเลคชั่นใหม่ เข้ามาสู่ตลาด และเป็นเครื่องสำอางที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่วัตถุดิบ กระบวนการผลิต ไปจนถึงแพคเกจจิ้ง ที่สอดคล้องกัน ทั้งหมดสอดรับการวางยุทธศาสตร์สร้างแบรนด์ไปสู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า 

 

‘มิสทิน’ เส้นทางโตสู่ทศวรรษที่ 3 ยึดเบอร์หนึ่งตลาดจีน สร้างยอดขายนิวไฮ

“ดนัย” กล่าวต่อถึงเส้นทาง 35 ปีของแบรนด์มิสทิน เครื่องสำอางไทยที่อยู่ในตลาดมายาวนานและสามารถขับเคลื่อนแบรนด์แข่งขันและผ่าสมรภูมิต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศมาได้อย่างแข็งแกร่ง ได้มี Key success สำคัญ ประกอบด้วย 

1. การมีคำว่า Made in Thailand พ่วงท้ายแบรนด์ นับเป็นคำตั้งต้นที่มีมูลค่าสูงสุด ส่งผลดีต่อการสร้างความเชื่อมั่นกับกลุ่มลูกค้า

2. การสร้างคุณภาพสินค้า มายาวนาน และให้ตอบโจทย์กับทุกความต้องการของกลุ่มลูกค้าในทุกภูมิภาค พร้อมกับการสร้างปัจจัยแวดล้อมในการขยายแบรนด์ให้เหมาะสม เช่น เทรนด์ตลาดอีคอมเมิร์ซที่มาแรงก็ปรับให้ลูกค้าสามารถเข้ามา Live streaming ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศได้อย่างสะดวก ซึ่งพบว่า เมื่อลูกค้าเข้ามาไลฟ์ผ่านชอปมิสทินในแต่ละครั้ง สร้างการเติบโตถึง 100% 

3. การสร้างมูลค่าของแบรนด์ มิสทิน ผสมผสานด้วยการใส่เทคโนโลยีในการผลิตและการทำตลาด ที่ต้องตามให้ทันเทรนด์เทคโนโลยีต่างๆ ทำให้ยอดการผลิตสินค้ามิสทิน จากที่มีกำลังการผลิตระยะแรกๆ ที่ 1 ล้านชิ้นได้พุ่งขึ้นสู่ 2 ล้านชิ้น และในปีที่ผ่านมาทะยานถึง 10 ล้านชิ้น คาดว่าในปี 2566 จะสูงถึงระดับ 30 ล้านชิ้น 

“การสร้างแบรนด์มีความสำคัญอย่างมาก เพราะมิสทิน ไม่ได้แข่งขันเฉพาะตลาดในประเทศ หรือแข่งกับคู่แข่งในประเทศ แต่เป็นการแข่งขันกับแบรนด์สินค้าจากทั่วโลก จากเส้นแบ่งการตลาดที่ไม่มีพรมแดนแล้ว นักการตลาดจะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์อย่างเข้มข้นต่อเนื่อง” 

ภาพรวมยอดขายของมิสทินในช่วงครึ่งปีแรก หากประเมินตลาดในประเทศมีการขยายตัวที่ดีประมาณ 20% แต่ตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะการส่งออก ขยายตัวดีมาก วัดได้อย่างชัดเจนกับแบรนด์ มิสทิน สร้างการเติบโต 150% ในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่าในสิ้นปีนี้ การส่งออกจะเติบโตในอัตราดังกล่าว นับเป็นการสร้างยอดส่งออกนิวไฮเป็นประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ทำการส่งออกมา โดยบริษัทมีการส่งออกไป 5 ประเทศ ประกอบด้วยจีน กัมพูชา เมียนมา ลาว และเวียดนาม ซึ่งตลาดจีน สร้างยอดขาย คิดเป็นสัดส่วน 80% ของการส่งออกทั้งหมด

ตลาดหลักในประเทศจีน ที่มีช่องทางจำหน่ายหลักกว่า 90% ผ่านอีคอมเมิร์ซของจีน โดยมีโปรดักส์แชมป์เปี้ยนคือ “ครีมกันแดดของมิสทิน” สร้างการเติบโตอันดับหนึ่งในอีคอมเมิร์ซของจีน มาจากการวางแผนการตลาดและมีพันธมิตรที่เชี่ยวชาญในประเทศจีน รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีการปรับสูตรใหม่ให้เหมาะสมกับลูกค้าชาวจีน โดยครีมกันแดด มีส่วนผสมจากข้าวหอมมะลิแดงของไทย

อีกกลยุทธ์สำคัญคือ การวางแผนทำตลาดผ่านอีคอมเมิร์ซของจีน ที่มีการจัดกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอกับลูกค้าชาวจีน ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก หากสำรวจตลาดจีนแม้มีโอกาสสูง จากขนาดตลาดที่ใหญ่มาก ตามฐานของประชากรในประเทศ แต่อีกด้านเป็นสิ่งต้องระวังคือ ตลาดมีการแข่งขันรุนแรง และเป็นตลาดที่มีความว่องไวกว่าไทยถึง 10 เท่า ดังนั้น การวางกลยุทธ์ออนไลน์ให้รวดเร็วสอดคล้องกับลูกค้าจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะในวันสำคัญและเทศกาลสำคัญ เช่น วันที่ 8 เดือน 8 และ วันที่ 11 เดือน 11 ต้องจัดโปรโมชั่นพิเศษให้ตอบโจทย์ลูกค้า เป็นต้น 

“หากไปสำรวจประเทศจีนเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจ จากขนาดประชากรที่มีจำนวนสูงถึง 1,400 ล้านคน ซึ่งลูกค้าต่างให้การตอบรับอย่างดีกับแบรนด์ มิสทิน ทำให้มีการเติบโตเป็นอันดับหนึ่งในผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด” 

อีกแนวทางการเติบโตสู่ตลาดโลก คือ การไปร่วมงานแสดงสินค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อขยายคู่ค้าใหม่ๆ โดยที่ผ่านมาได้ไปร่วมงาน ที่จัดขึ้นในตลาดสหรัฐ และในฮ่องกง เป็นต้น

ประเมินสัดส่วนยอดขายของบริษัท มาจากในประเทศ 60% และตลาดส่งออก 40% โดยภาพรวมยอดขายของสินค้าจะมาจากทั้งกลุ่มครีมกันแดด กลุ่มผลิตภัณฑ์แต่งหน้ากับ คุชชั่น กลุ่มเมคอัพที่มีสีสัน กลุ่มอายไลเนอร์ และกลุ่มลิปสติก เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม ในประเทศบริษัทยังให้น้ำหนักกับตัวแทนขายสินค้า ที่เรียกว่า “สาวมิสทิน” ที่มีอยู่ทั่วประเทศ แต่ในช่วงสถานการณ์โควิดที่ทำให้ สาวมิสทิน ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จึงมีปรับแผนไปขยายผ่านช่องทางค้าปลีก ในศูนย์การค้าต่างๆ มากขึ้น และขยายในช่องทางออนไลน์กับ อีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มทั้ง Shopee Lazada ควบคู่กัน 

มิสทิน คาดการณ์ยอดขายรวมในสิ้นปี 2566 จะมากกว่า 3,600 ล้านบาท เติบโต 40% จากปีก่อน โดยยอดขายจากต่างประเทศจะสูงกว่า 1,000 ล้านบาท