ครม. ไฟเขียว วีซ่าฟรี ‘จีน-คาซัค’ โฆษกฯ ร่าย ‘บัญญัติ 10 ประการ’ ฟื้นท่องเที่ยว

ครม. ไฟเขียว วีซ่าฟรี ‘จีน-คาซัค’ โฆษกฯ ร่าย ‘บัญญัติ 10 ประการ’ ฟื้นท่องเที่ยว

‘ท่องเที่ยว’ เฮอย่างเป็นทางการ! นายกฯ เศรษฐา เผย ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการ ‘วีซ่าฟรี’ แก่จีน-คาซัคสถาน เดินทางเข้าไทยโดยไม่ต้องขอวีซ่า มีผลตั้งแต่ 25 ก.ย. 66 – 29 ก.พ. 67 ด้าน ‘ชัย วัชรงค์’ โฆษกสำนักนายกฯ ร่าย ‘บัญญัติ 10 ประการ’ รีสตาร์ตท่องเที่ยว ดันไทย 'เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ฮับ'

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก (13 ก.ย. 2566) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการวีซ่า-ฟรี (Visa-Free) เป็นการชั่วคราว หรือยกเว้นการขอวีซ่าเข้าประเทศไทย แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนและคาซัคสถาน โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2566 ถึงวันที่ 29 ก.พ. 67

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกของรัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุถึง “บัญญัติ 10 ประการ” รีสตาร์ตภาคการท่องเที่ยวไทยครั้งใหญ่ ให้เป็นเครื่องจักร “ควิกวิน” นำรายได้เข้าสู่ประเทศ หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

สำหรับ “บัญญัติ 10 ประการ” ของการรีสตาร์ตภาคท่องเที่ยวไทย ได้แก่

 

1.ออกมาตรการ “วีซ่า-ฟรี” หรือ ยกเว้นวีซ่า (ไม่ต้องขอวีซ่า) เป็นการชั่วคราว แก่นักท่องเที่ยว 2 ประเทศ ได้แก่ ประเทศจีนและคาซัคสถาน โดยตลาดจีนเมื่อปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปต่างประเทศ 154 ล้านคน ในตอนนั้นเศรษฐกิจจีนดี ไม่ช้าไม่นานจะทะยานไปแตะ 200 ล้านคนต่อปี ทำให้ประเทศไทยต้องเล็งประเทศจีนซึ่งมีศักยภาพสูงในการเดินทาง

 

2.ดูแลความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ

 

3.รัฐบาลจะดูแล สร้างความมั่นใจด้านการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยมีแผนทำภาพยนตร์ และหนังโฆษณา ด้วยการดึงดารา ศิลปิน นักร้อง อินฟลูเอนเซอร์ต่างๆ รวมถึงตัวแทนส่วนราชการของรัฐบาลจีน มาสร้างความมั่นใจผ่านภาพยนตร์ต่างๆ

4.สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลคู่ความร่วมมือ โดยนายกฯ เศรษฐา บอกว่าจะนำคณะเดินทางไปเยือนประเทศเป้าหมาย เพื่อเชิญชวนคนมาเที่ยวไทย

 

5.กระตุ้นศักยภาพของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยการเพิ่มเที่ยวบิน โดยเฉพาะเที่ยวบินไป “เมืองรอง” ที่มีศักยภาพสูง เช่น หลายเมืองในประเทศจีน เป็นเมืองหลวงของมณฑลที่เราไม่เคยมีเที่ยวบินตรง (Direct Flight) ไปถึง ทั้งที่มีประชากรในเมืองนั้นๆ จำนวน 30-50 ล้านคน โดยเมืองรองเหล่านี้เป็นตลาดเป้าหมาย “สถานีต่อไป” ที่เราต้องไปให้ได้ เช่น นครฉางชุน เมืองเอกของมณฑลจี๋หลิน และเมืองเสิ่นหยาง เมืองเอกของมณฑลเหลียวหนิง เป็นต้น

 

6.เร่งพัฒนาสินค้าและการท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐาน มีการคุยกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวว่า ต้อง “บริการทุกระดับ ประทับใจ” สร้างความแตกต่าง

 

7.ส่งเสริมการจัด “อีเวนต์” ให้การท่องเที่ยวของประเทศไทยมีจุดขาย ดึงคนมาเที่ยวตลอด 365 วัน เช่น ยกระดับงานเทศกาลลอยกระทง เทศกาลสงกรานต์ ให้เป็น “World Class Event” ไม่ใช่แค่อีเวนต์ระดับท้องถิ่นอีกต่อไป พร้อมสื่อสารถึงชาวต่างชาติให้ได้รับทราบว่าถ้ามาช่วงนี้ จะมีอีเวนต์นี้

 

8.ผู้ประกอบการทัวร์ (ทัวร์เอเยนต์) ขานรับแนวทางนี้ พร้อมนำเสนอแพ็กเกจท่องเที่ยวและโปรโมชั่นดึงดูดใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ

 

9.เป้าหมายใหญ่ของรัฐบาล คือจะส่งเสริมประเทศไทยเป็น “Entertainment Hub” หรือ ศูนย์กลางความบันเทิงแห่งเอเชีย

 

10. จากเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อความรู้สึกนักท่องเที่ยว (Bad Impression) และถูกส่งต่อแพร่กระจายในโลกออนไลน์ ทางรัฐบาลจะตั้งทีม “Online Crisis Management” เพื่อเข้าไปมอนิเตอร์ ชี้แจงในทันทีทันใด

 

ครม. ไฟเขียว วีซ่าฟรี ‘จีน-คาซัค’ โฆษกฯ ร่าย ‘บัญญัติ 10 ประการ’ ฟื้นท่องเที่ยว