‘Startup’ กำลังจะตาย สิ้นยุคทอง ‘ซิลิคอน วัลเลย์’ แล้ว?

‘Startup’ กำลังจะตาย สิ้นยุคทอง ‘ซิลิคอน วัลเลย์’ แล้ว?

หมดยุคเผาเงินสด! นักลงทุนแห่ถอนตัวหลังเศรษฐกิจถดถอย ทำ “สตาร์ตอัป” ทยอยเจ๊งให้วุ่น สื่อนอกชี้ “ซิลิคอน วัลเลย์” ไม่ใช่ดินแดนแห่งฝันอีกแล้ว สะท้อน “นักลงทุน” เป็นกลไกที่ขาดไม่ได้ หลังจากนี้สถานการณ์จะเลวร้ายมากยิ่งขึ้น

Key Points :

  • ธุรกิจสตาร์ตอัปเป็นฝันของคนรุ่นใหม่มากมาย ด้วยกลไกที่เน้นนวัตกรรม-เทคโนโลยีสดใหม่ อาศัยทุนสนับสนุนจาก “Venture Capital” ที่ร่วมลงขัน ทำให้ทศวรรษที่ผ่านมามีสตาร์ตอัปเกิดใหม่และประสบความสำเร็จมากมาย
  • แต่หลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 สิ้นสุดลง ฝันหวานของ “สตาร์ตอัป” ก็เริ่มสั่นคลอน เมื่อนักลงทุนต้องการรักษากระแสเงินสด หากคิดจะลงทุนแล้วต้องเป็นสตาร์ตอัปที่มีผลงานเป็นรูปธรรม สตาร์ตอัปเกิดใหม่หมดสิทธิได้ “แรงเงิน” จากนายทุนทันที
  • นักลงทุนบางส่วนมองว่า สิ่งที่สตาร์ตอัปต้องทำหลังจากนี้ คือการยืนให้ได้ด้วยตัวเองก่อน หากผลิตภัณฑ์แข็งแรง วัดผลได้จริง เม็ดเงินจากนักลงทุนก็จะตามมาสมทบภายหลังเอง


ตั้งแต่ทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา อาจเรียกได้ว่า นี่คือ “ยุคทอง” ของธุรกิจสตาร์ตอัป (Startup) เลยก็ว่าได้ เมื่อบริษัทเล็กๆ มีไอเดียมากมายแต่ไม่สามารถไปต่อเพราะขาดแหล่งเงินทุน โมเดลธุรกิจสตาร์ตอัปที่เน้นขายไอเดีย-นวัตกรรมสดใหม่ แล้วใช้วิธีระดมทุนจากนักลงทุนที่สนใจเข้าร่วมจึงทำให้ “คนตัวเล็ก” ก้าวกระโดดได้ไว ยิ่งโตมากเท่าไรก็ยิ่งได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนเท่านั้น

สตาร์ตอัปที่ประสบความสำเร็จและได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนจนสามารถทะยานสู่ “ยูนิคอร์น” ได้ (บริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.3 หมื่นล้านบาทไทย) ก็จะได้เปรียบกว่าสตาร์ตอัปรายอื่นๆ กลายเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนรายใหญ่เพราะเล็งเห็นแล้วว่า บริษัทดังกล่าวมีศักยภาพการเติบโต ทำให้ต้องเร่งอัดฉีดเงินลงทุนสนับสนุนเพิ่ม

ทว่า สถานการณ์ของสตาร์ตอัปตอนนี้ดูจะไม่สดใสเหมือนเดิมแล้ว ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลกหลังโควิด-19 จบลง ทำให้ “กระแสเงินสด” กลายเป็นสิ่งที่บริษัทขนาดใหญ่ให้ความสำคัญมากขึ้นจากที่เคยอัดฉีดเงินร่วมลงทุนในหลายบริษัท ตอนนี้นักลงทุน “คัดแล้วคัดอีก” มากขึ้นหลายเท่า สถานการณ์ที่แหล่งเงินทุนหดหายเริ่มคุกคามสตาร์ตอัปน้อยใหญ่หลายราย จนทำให้หลายบริษัทตัดสินใจปิดตัวลง ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้กำลังกลายเป็น “ไฟลามทุ่ง” แม้กระทั่งสตาร์ตอัปในหุบเขา “ซิลิคอน วัลเลย์” เองก็ด้วย

‘Startup’ กำลังจะตาย สิ้นยุคทอง ‘ซิลิคอน วัลเลย์’ แล้ว?

  • เมื่อ “เงินทุน” คือสิ่งที่สตาร์ตอัปขาดไม่ได้ ความแห้งแล้งครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น

แม้วิกฤติโควิด-19 จะเป็นช่วงเวลาอันยากลำบากของใครหลายคน แต่ไม่ใช่กับบรรดาธุรกิจสตาร์ตอัปที่มีผลิตภัณฑ์ “แจ้งเกิด” ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าวออกมามากมาย เนื่องจากสตาร์ตอัปมักเกี่ยวข้องกับการคิดค้นออกแบบนวัตกรรมที่ดึงเทคโนโลยีเข้ามาทำให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างสตาร์ตอัปที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง อาทิ แกร็บ (Grab) แอร์บีเอ็นบี (AirBnB) อูเบอร์ (Uber) เสี่ยวหมี่ (Xiaomi) หรือแฟลช เอ็กซ์เพลส (Flash Express) สตาร์ตอัปสัญชาติไทยที่ระดมทุนจนขึ้นเป็น “ยูนิคอร์นตัวแรก” ของไทยได้สำเร็จ โดยเป็นการคว้ายูนิคอร์นได้ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 ด้วย จะเห็นได้ว่า ทุกบริษัทมีจุดเชื่อมโยงคล้ายกันตรงที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นและขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเป็นหลัก

ทว่า เวลาล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน ปรากฏว่า ฝันหวานของวงการสตาร์ตอัปกลับตาลปัตร สำนักข่าวเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล (The Wall Street Journal) ระบุว่า ขณะนี้สตาร์ตอัปในสหรัฐที่เคยเฟื่องฟูถึงขีดสุดในช่วงที่ผ่านมา ตอนนี้เปรียบเหมือนกับคนที่ขาดน้ำเป็นเวลานาน และอาจเรียกได้ว่า สตาร์ตอัปกำลังเข้าสู่ภาวะ “ใกล้ตาย” แล้ว

“แมตต์ เรดเลอร์” (Matt Redler) ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร “Panther” สตาร์ตอัปด้านการชำระเงินที่เคยระดมทุนจากนักลงทุนได้สูงสุด 60 ล้านดอลลาร์ ตัดสินใจปิดบริษัทลงในเดือนมิถุนายน ปี 2023 ที่ผ่านมา เนื่องจากไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนได้นานกว่า 1 ปีแล้ว “เรดเลอร์” เล่าว่า เกือบ 2 ปีที่แล้วเขาได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อระดมทุนมูลค่า 20 ล้านดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อการขยายตลาดไปสู่ลูกค้ารายใหญ่ ทั้งยังตั้งเป้าที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกสองเท่าด้วย

แต่ไม่นานหลังจากนั้นนักลงทุนที่เคยพูดคุยแผนดังกล่าวด้วยกันก็ทยอยถอนตัวออกไป เนื่องจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่เข้ามาเขย่าตลาดเงิน ขณะนั้น “เรดเลอร์” เริ่มมองหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อประคองบริษัทให้ยังไปต่อได้ เขาเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจจากธุรกิจชำระเงินเป็นธุรกิจหาคนทำงานแบบ “จ้างเหมา” โดยมองว่า เป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์กับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เพราะหลังการระบาดใหญ่จบลงบริษัทหลายแห่งได้มีการปรับลดการจ้างพนักงานเต็มเวลา (Full-time) เป็นการจ้างพนักงานรายเดือน-รายปีกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ “เรดเลอร์” จะปรับแผนธุรกิจขนานใหญ่ แต่ก็ไม่เป็นผลดีแม้แต่น้อย “เรดเลอร์” ตั้งเป้าเสนอขายแผนให้กับนักลงทุนกว่า 50 ราย แต่กลับไม่มีนักลงทุนสนใจแม้แต่รายเดียว “Panther” จึงต้องปิดตัวลงถาวรเพื่อป้องกันการเกิดภาวะล้มละลาย

‘Startup’ กำลังจะตาย สิ้นยุคทอง ‘ซิลิคอน วัลเลย์’ แล้ว?

กรณีของ “Panther” เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของสถานการณ์เท่านั้น โดย “เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล” ระบุเพิ่มเติมว่า สตาร์ตอัปใน “ซิลิคอน วัลเลย์” (Silicon Valley) หลายแห่งกำลังประสบปัญหาเดียวกัน แม้ว่าหุ้นเทคโนโลยีกำลังปรับตัวสูงขึ้นแต่นักลงทุนหลายรายให้ความสนใจไปกับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ของตัวเองกันหมดแล้ว ข้อเท็จจริงคือสตาร์ตอัปไม่เติบโต ไม่ได้รับการอัดฉีดจากนักลงทุนมาพักใหญ่ ตรงกันข้ามกับทศวรรษก่อนหน้าที่มีแหล่งเงินทุนจำนวนมากพร้อมอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมต่ำ ซึ่งธรรมชาติของบริษัทสตาร์ตอัปต้องอาศัยการระดมทุนหลายรอบกว่าจะไปถึงจุดสูงสุดได้ ฉะนั้น คำถามสำคัญก็คือสตาร์ตอัปจะทำอย่างไรเพื่อให้ตนเองอยู่รอด ในขณะที่นักลงทุนทบทวนการใช้จ่าย-ลงทุนอย่างเข้มข้นมากขึ้น

  • ไม่เติบโตไม่เสี่ยงลงทุน อนาคตที่ไม่ง่ายของ “สตาร์ตอัป”

“ไม่เกิน 12 เดือนข้างหน้าเราจะได้เห็นสตาร์ตอัปทยอยปิดกิจการเพิ่มขึ้นอีก” เจนนิเฟอร์ ฟิลด์ดิง (Jennifer Fielding) กรรมการบริษัท “Everywhere Ventures” ธุรกิจแหล่งเงินทุนสำหรับสตาร์ตอัปในสหรัฐเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า ไม่มีใครอยากเสี่ยงจัดหาเงินทุนให้กับสตาร์ตอัปที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นดำเนินการอีกแล้ว นายทุนมักหลีกเลี่ยงการลงทุนกับธุรกิจที่ยังไม่มีสัญญาณการเติบโต หรือสร้างผลกำไรที่เห็นได้อย่างชัดเจน

ทั้งนี้ “PitchBook” บริษัทที่ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลทางการเงินในสหรัฐระบุว่า จากข้อมูลเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา พบว่า การลงทุนในสตาร์ตอัปที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีลดลงกว่า 49 เปอร์เซ็นต์ โดยข้อมูลดังกล่าวเผยให้เห็นว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ลดระดับเงินทุนเพื่อการสนับสนุนสตาร์ตอัประดับเริ่มต้นลงกว่าครึ่งหนึ่ง การตัดสินใจครั้งนี้สัมพันธ์กับการปิดตัวของสตาร์ตอัปรายใหม่ในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากแหล่งเงินทุนเหล่านี้มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเริ่มต้นทำธุรกิจ หากไม่ปิดกิจการสตาร์ตอัปเกิดใหม่ก็เลือกที่จะลดขนาดธุรกิจของตนเองลงแทน

ไตรมาสที่ 2 ปี 2566 มีสตาร์ตอัปหลายแห่งปิดตัวลงอย่างน่าเสียดาย ยกตัวอย่างเช่น “Plastiq” ธุรกิจแพลตฟอร์มการชำระเงินถูกฟ้องล้มละลายในเดือนพฤษภาคม “Goldfinch Bio” สตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีชีวภาพล้มละลายเมื่อต้นปี 2566 หลังจากไม่สามารถระดมเงินทุนได้ตามเป้า “Buzzer” แพลตฟอร์มกีฬาที่เคยระดมทุนได้มากถึง 20 ล้านดอลลาร์ และยังเคยระดมทุนร่วมกับ “ไมเคิล จอร์แดน” (Michael Jordan) รวมถึง “Poparazzi” แอปพลิเคชันแชร์รูปภาพที่เคยมียอดดาวน์โหลดสูงสุดในแอปสโตร์ (App Store) ก็ปิดตัวลงเช่นกัน

หรืออย่าง “Hopin” สตาร์ตอัปชื่อดังที่เกิดขึ้นจาก “Pain Point” การเว้นระยะห่างทางสังคมในช่วงโควิด-19 แจ้งเกิดราวเดือนมิถุนายน ปี 2562 ด้วยแนวคิดการจัดงานอีเวนต์เสมือนจริงผ่านระบบคอนเฟอเรนซ์ โดย “Hopin” เคยระดมทุนได้เกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี แต่เมื่อการระบาดใหญ่จบลง ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิม “Hopin” ก็เริ่มประสบปัญหา กระทั่งตัดสินใจขายกิจการไปด้วยมูลค่าเพียง 15 ล้านดอลลาร์ จากที่เคยมีมูลค่าบริษัทมากถึง 7 พันล้านดอลลาร์ในช่วงการแพร่ระบาด 

อาจพูดได้ว่า สถานการณ์ของสตาร์ตอัปขณะนี้ออกจะ “ลูกผีลูกคน” ก็คงไม่ผิดนัก เมื่อการสร้างนวัตกรรมต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกอย่างแหล่งเงินทุนจาก “Venture” หรือบริษัทขนาดใหญ่เป็นหลัก ขณะที่ระบบนิเวศของวงการสตาร์ตอัปเปลี่ยนไปจากทศวรรษก่อนหน้าโดยสิ้นเชิงแล้ว นักลงทุนขีดเส้นความเสี่ยงรัดกุมมากขึ้น “ฮันเตอร์ วอล์ก” (Hunter Walk) นักลงทุนรายหนึ่งให้ความเห็นว่า ปัจจุบันนักลงทุนต้องการเห็นผลลัพธ์ความสำเร็จจากสตาร์ตอัปด้วยตัวเลขผู้ใช้งานที่วัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม เขาระบุว่า “ความบ้าคลั่งในการลงทุน” สิ้นสุดลงไปตั้งแต่ต้นปี 2022 สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ คือจำนวนสตาร์ตอัปที่ปิดตัวลงเนื่องจากโอกาสในการระดมทุนที่ริบหรี่ลงเต็มที

  • ทางออก คือ “สตาร์ตอัป” ต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้

“เจส เรนดัล” (Jess Rendall)  ผู้ก่อตั้งกองทุน “Sweater” มองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการระดมทุนหดตัวลงว่า ขณะนี้สถานการณ์ของสตาร์ตอัปเข้าข่าย “Pandemic Bubble” หรือฟองสบู่หลังการระบาดใหญ่ สิ่งที่ตามมา คือภาวะล่มสลายอย่างรวดเร็วของเงินทุนที่เคยไหลสู่สตาร์ตอัป เรนดัลตั้งคำถามชวนคิดต่อว่า สตาร์ตอัปอาจต้องกลับมาทบทวนว่า ธุรกิจที่เริ่มต้นจากการระดมทุนและการพึ่งพา “Venture Capital” เป็นหลักนั้นมีความยั่งยืนหรือไม่ ทั้งการระดมทุนแบบ “คราวด์ฟันดิง” (Crowdfunding) และ “บูทสแตรป” (Bootstrapped)

เป็นไปได้หรือไม่ว่า หากสตาร์ตอัปก่อตั้งและสร้างนวัตกรรมขึ้นมาก่อน มีผลิตภัณฑ์เป็นรูปธรรม มีตัวเลขทั้งจำนวนลูกค้าและเม็ดเงินที่วัดผลได้ อาจทำให้สถานการณ์การระดมทุนมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า สตาร์ตอัปมีศักยภาพในการทำผลงานออกมาได้จริง แน่นอนว่า กองทุนหรือ “VC” เป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เติบโตได้ในระยะยาว แต่สิ่งที่เขาต้องการจะชี้ให้เห็นก็คือ ในช่วงเวลาที่กระแสเงินสดยังมาไม่ถึง การสร้างรากฐานธุรกิจให้มั่นคงแข็งแกร่งคือจิ๊กซอว์ชิ้นแรกที่สตาร์ตอัปต้องมีก่อนเป็นอันดับแรก

 

อ้างอิง: Inc.The Wall Street Journal