เปิดประวัติ ‘สุดาวรรณ’ ลูกสาวกำนันป้อ ว่าที่ รมว.ท่องเที่ยวฯ รัฐบาลเพื่อไทย

เปิดประวัติ ‘สุดาวรรณ’ ลูกสาวกำนันป้อ  ว่าที่ รมว.ท่องเที่ยวฯ รัฐบาลเพื่อไทย

ชื่อของ 'สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล' ลูกสาวกำนันป้อ น่าจับตายิ่ง! เมื่อติดโผ ครม. ภายใต้การนำของ 'เศรษฐา ทวีสิน' นายกรัฐมนตรี ว่านี่แหละ... คือบุคคลที่จะมานั่งเก้าอี้ 'รมว. ท่องเที่ยวฯ' คนใหม่

ด้วยภาคท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย อยู่ระหว่างพลิกฟื้นจากวิกฤติโควิด-19 เพื่อดึงเม็ดเงินไหลเข้าประเทศอย่างเร่งด่วน

ย้อนไปดูผลการเลือกตั้ง ผลงานของทีม “กำนันป้อ” บ้านใหญ่โคราช เข้าตากรรมการ! หลังย้ายค่ายจากพรรคภูมิใจไทย ซบพรรคเพื่อไทย สามารถโกยเก้าอี้ สส. มาได้ 12 เขตแบบจุกๆ จากทั้งหมด 16 เขต รวมกันเฉียด 5 แสนคะแนน และยังดัน สส.บัญชีรายชื่อ สอบผ่านอีก 2 คน ได้แก่ ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และ สุดาวรรณ ที่เข้าวินลำดับที่ 21

ประกอบกับภาพข่าวการลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต ของ นายกฯเศรษฐา เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2566 ปรากฏชื่อของ สส.ป้ายแดง “สุดาวรรณ” หนึ่งในคณะทำงานด้านนโยบายการท่องเที่ยว ร่วมลงพื้นที่ด้วย ยิ่งตอกย้ำว่า “คนนี้มาแรง!” แซงโค้งท้าย โดยตามกำหนดการวันที่ 26 ส.ค. จะมีการพบปะพูดคุยกับภาคเอกชนท่องเที่ยว จ.พังงา ต่อ ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ

“สุดาวรรณ” มีชื่อเล่นว่า “ปุ๋ง” ปัจจุบันอายุ 41 ปี เป็นทายาทกำนันป้อ “วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล” สมญานาม “เสี่ยแป้งมัน” เจ้าของอาณาจักรพันล้าน “โรงแป้งเอี่ยมเฮง” เคยเป็นอดีต รมช.พาณิชย์ กับ รมช.คมนาคม และ “ยลดา หวังศุภกิจโกศล” หรือ “นายกฯ หน่อย” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา

โดยมีน้องชาย คือ “อาทิตย์ หวังศุภกิจโกศล” และได้สมรสกับ “นิกร โสมกลาง” ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งเขตของพรรคเพื่อไทย ใน จ.นครราชสีมา

สุดาวรรณ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ก่อนกระโจนสู่สนามการเมือง สุดาวรรณ ได้รับไม้ต่อเข้ามาบริหารธุรกิจโรงแป้งมันของครอบครัว ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท แป้งมันเอี่ยมเฮงอุตสาหกรรม จำกัด

ท่ามกลางสายตาจับจ้องของภาคเอกชนท่องเที่ยว ซึ่งต้องการ “คนรู้จริง มีประสบการณ์” มาบริหารกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะ “มือประสานสิบทิศ” ที่ต้องคอยผนึกความร่วมมือกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น มหาดไทย คมนาคม การต่างประเทศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม หลังจากในยุคผ่านๆ มา ร้องเพลงคีย์เดียวกันบ้าง ไม่ตรงคีย์กันบ้าง

ทั้งยังต้องผลักดันให้รายได้รวมการท่องเที่ยวจากทั้งตลาดในและต่างประเทศปี 2566 ไปถึงเป้าหมาย 2.4 ล้านล้านบาท และปี 2567 ไปถึง 3 ล้านล้านบาท กลับมา 100% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด

ล่าสุด นายกฯ เศรษฐา โพสต์ข้อความบน X (ชื่อเดิม ทวิตเตอร์) หลังลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต ว่า...

“หนึ่งในนโยบายสร้างรายได้หลักของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ต้องเร่งดำเนินการตอนนี้ คือการพลิกฟื้นการท่องเที่ยว เป็นหนทางที่จะนำเงินนอกมาปลุกเศรษฐกิจไทยให้เงินไหลเข้าประเทศได้เร็วที่สุด ซึ่งในตอนนี้นักท่องเที่ยวกำลังไหลกลับเข้ามา จึงถือเป็นโอกาสดีที่ไทยต้องเร่งเตรียมความพร้อม นักท่องเที่ยวจีนที่เคยเป็นกำลังหลัก ตอนนี้กำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ เขาอยากมาน้อยลง ฉะนั้นเราต้องแข่งขันที่จะดึงดูดพวกเขาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวีซ่า การบริหารจัดการ (Operations) ของสนามบินเอง การจัดการเที่ยวบิน (Flight) การลำเลียงกระเป๋า และกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง

แน่นอนในอนาคตเราคงต้องดูด้วยว่าสนามบินจะมีความสามารถในการรองรับ (Capacity) เป็นอย่างไร และยังต้องดูไปถึงเมืองรองอื่นๆ ด้วย ซึ่งผมมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพมาก และควรมีสถานะเป็นฮับของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้

ทั้งหมดนี้ เราตั้งเป้าเพื่อให้ประเทศไทยกลับมามีรายได้จากการท่องเที่ยวจากเดิม 1.9 ล้านล้านบาท เป็น 3.3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2567 ครับ”

เปิดประวัติ ‘สุดาวรรณ’ ลูกสาวกำนันป้อ  ว่าที่ รมว.ท่องเที่ยวฯ รัฐบาลเพื่อไทย

จากตัวเลขเป้ารายได้การท่องเที่ยว “3.3 ล้านล้านบาท” ภายในปี 2567 ตามโพสต์ดังกล่าวของ นายกฯ เศรษฐา อาจแปลความได้ว่า... รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะปรับเป้ารายได้ฯ เพิ่มอีก 3 แสนล้านบาท จากเป้าหมายปัจจุบันของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ตั้งไว้ 3 ล้านล้านบาท ใช่หรือไม่?

ถ้าใช่... ก็ต้องบอกว่า เป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก ในสถานการณ์ที่ภาคท่องเที่ยวต้องเผชิญวิกฤติซ้ำซ้อน (Polycrisis) ถาโถม และการแข่งขันแย่งชิงนักท่องเที่ยวกับนานาประเทศอันดุเดือด! หลัง “ผ่านจุดต่ำสุด” จากวิกฤติโควิด-19 ไปแล้ว

นี่คือสิ่งที่รัฐบาลเพื่อไทยต้องเร่งรัดหาคำตอบ ครีเอตแผนควิกวินให้เจอ โดยเฉพาะการยกระดับภาพลักษณ์ด้านต่างๆ ทั้งคุณภาพการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ความปลอดภัย ความสะดวกในการเดินทาง และความยั่งยืนให้จับต้องได้จริง 

เปิดประวัติ ‘สุดาวรรณ’ ลูกสาวกำนันป้อ  ว่าที่ รมว.ท่องเที่ยวฯ รัฐบาลเพื่อไทย

รวมถึงตลาด "นักท่องเที่ยวจีน" ที่ผู้ประกอบการเท้าคางรอมาตั้งแต่ต้นปี หลัง "จีนเปิดประเทศ" 8 ม.ค. 2566 แม้เห็นสัญญาณด้านการฟื้นตัว แต่ก็ยังห่างไกลจากอดีตอยู่มาก

เพราะเมื่อปี 2562 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยถึง 11 ล้านคน มากเป็นอันดับ 1 จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทั้งหมด 39.8 ล้านคน ขณะที่สถิติเมื่อวันที่ 1 ม.ค.-20 ส.ค. 2566 มีนักท่องเที่ยวจีนสะสม 2.1 ล้านคน ยัง "ห่างไกลเหลือเกิน" จากเป้าหมาย 5 ล้านคนในปีนี้ กับช่วงระยะเวลาที่เหลือเพียง 4 เดือน (ก.ย.-ธ.ค.) ซึ่งต้องเร่งสปีด ดึงเข้ามาให้ได้อีกเกือบ 3 ล้านคน

ต้องลุ้นกันว่ารัฐบาลใหม่จะตัดสินใจออก "มาตรการยาแรง" โดยเฉพาะ "ยกเว้นค่าวีซ่า" ให้แก่ตลาดเป้าหมาย เช่น จีน และ อินเดีย ตามที่เอกชนเรียกร้องหรือไม่?

หลังพรรคเพื่อไทยชูโรงว่าจะเข้ามาแก้ปัญหา "ปากท้อง" และ "เศรษฐกิจไทย" ซึ่งมีภาคท่องเที่ยวสร้างรายได้หลักด้วยสัดส่วน 18% ของจีดีพีเมื่อปี 2562 ก่อนเกิดโควิด และในระยะยาวปี 2570 ภาคท่องเที่ยวมีแนวโน้มสร้างรายได้หลักแก่ประเทศ เพิ่มสัดส่วนเป็น 25% ของจีดีพี