หรูยิ่งกว่าหรู! ทำไม ‘Rolls Royce’ ถึงแพงแบบไร้ที่สิ้นสุด?

ทำไม ‘Rolls Royce’ จึงเป็นรถราคาแพง?

สำรวจจักรวาลรถยนต์ “โรลส์-รอยซ์” พบ เฉลี่ยราคาคันละ 30-50 ล้านบาท สร้างสถิติแพงสุด 407 ล้านบาทต่อคัน ราคาสูงด้วยกลยุทธ์ “Customization” เลือกผสมสีรถเองได้ ภายในเก็บเสียงมิดชิด ศูนย์ล้อปรับแต่งเอง ใช้ช่างเฉพาะทาง เป็นรถ “Handmade” ทั้งคัน 100 เปอร์เซ็นต์!

Key Points:

  • “โรลส์-รอยซ์” ขึ้นชื่อว่า เป็นรถยนต์ที่ดีที่สุดในโลก เพราะเป็นรถสั่งทำ ผลิตขึ้นจากความต้องการของลูกค้าเท่านั้น ทั้งตัวรถใช้ช่างฝีมือของแบรนด์ตกแต่งทั้งคัน เป็นงาน “Handmade” หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
  • ความเฉพาะตัวของ “โรลส์-รอยซ์” มีตั้งแต่สีด้านนอกที่ลูกค้าสามารถสั่งผสมสีใหม่ขึ้นมาได้ หากมีลูกค้ารายอื่นๆ ต้องการใช้สีเดียวกันต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของสีก่อน รวมถึงการตกแต่งภายในที่ใช้หนังวัวกระทิงในการทำเบาะ ตกแต่งหลังคารถแบบ “Starlight” เลือกกลุ่มดาวได้เอง
  • การผลิตรถยนต์ “โรลส์-รอยซ์” จะเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อมีคำสั่งซื้อเข้ามาเท่านั้น ทำให้ทุกขั้นตอนตั้งแต่สั่งซื้อ รับรถ จนถึงการบริการหลังขายมีความพรีเมียมเฉพาะตัวรวมถึงราคาที่สูงเป็นพิเศษ


แม้ไม่ใช่รถ “Supercar” โฉบเฉี่ยวสองประตูเหมือนกับ “เฟอร์รารี” (Ferrari) หรือ “ลัมโบร์กินี” (Lamborghini) แต่ความหรูหราเฉพาะตัวของ “โรลส์-รอยซ์” (Rolls Royce) ก็ทำให้แบรนด์ยืนระยะเป็นตำนานเข้าสู่ปีที่ 119 แล้ว “โรลส์-รอยซ์” ได้ชื่อว่า เป็นรถยนต์ที่มีนวัตกรรมการออกแบบดีเยี่ยม เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและวัสดุระดับพรีเมียมที่ยังคงรักษาดีไซน์เฉพาะตัวแบบ “ผู้ดีอังกฤษ” ไว้ได้อย่างคลาสสิก

ในยุคที่รถยนต์เป็นที่ต้องการมากขึ้น ยักษ์ผู้ผลิตหลายเจ้าจึงเลือกออกแบบการผลิตด้วยวิธี “Mass production” หรือ “Lean production” เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้รวดเร็วมาก ขณะที่ “โรลส์-รอยซ์” ยังคงจัดวาง “Brand positioning” ของตัวเองด้วยกลยุทธ์ “Craft production” 

รู้หรือไม่ว่า รถยนต์โรลส์-รอยซ์ทุกคันที่ออกสู่ท้องตลาดไม่ได้ใช้การผลิตด้วยเครื่องจักร แต่ผ่านการประณีตบรรจงตกแต่งทุกส่วนด้วยช่างรถโรลส์-รอยซ์โดยเฉพาะ เรียกว่า เป็นรถ “Handmade” 100 เปอร์เซ็นต์เลยก็ว่าได้

หรูยิ่งกว่าหรู! ทำไม ‘Rolls Royce’ ถึงแพงแบบไร้ที่สิ้นสุด?

  • สีเดียวบนโลก ไม่มีคันไหนเหมือน

จุดเด่นของ “โรลส์-รอยซ์” คือ การปรับแต่ง “Customized” ได้แบบไม่รู้จบ สามารถอัปเกรดได้ตามความต้องการของลูกค้า เฉพาะสีรถยนต์ก็ไม่สามารถทำที่อู่ซ่อมหรือศูนย์รถทั่วไปได้แล้ว เพราะสีรถยนต์ “โรลส์-รอยซ์” เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้แบรนด์หรูจากเกาะอังกฤษมีราคาสูงกว่าแบรนด์อื่นในท้องตลาด

ข้อมูลจากสำนักข่าว “บิซิเนส อินไซเดอร์” (Business Insider) ระบุว่า “โรลส์-รอยซ์” มีชาร์ตสีให้ลูกค้าเลือกมากกว่า 44,000 เฉด โดยผู้ซื้อสามารถเลือกผสมสี-ปรับแต่งให้ตรงกับที่ตนเองชื่นชอบได้ คล้ายกับการผสมสีลิปสติกแบบ “Customized” ตามเคาน์เตอร์แบรนด์ ทำให้สีมีความเอ็กซ์คลูซีฟมากขึ้น และเมื่อปรับแต่งเสร็จแล้วสีรถดังกล่าวก็จะถูกจดทะเบียนด้วยชื่อเฉพาะของลูกค้าทันที หากในอนาคตมีลูกค้ารายอื่นๆ ชื่นชอบและต้องการสีที่เหมือนกัน พวกเขาต้องขออนุญาตเจ้าของสีก่อน

นอกจากนี้ งานทำสีของ “โรลส์-รอยซ์” ยังมีความพิเศษตรงที่จะมีการเคลือบทำสีไว้อย่างน้อย 7 ชั้น ประกอบด้วยไพรเมอร์ เบส โค้ท และสี รวมทั้งยังเพิ่มแลกเกอร์ขัดเงาอีก 2 ชั้น แต่อย่างไรก็ตาม หากเจ้าของรถต้องการเพิ่มชั้นสีให้มีความหนาแน่นมากขึ้นก็สามารถทำได้สูงสุดถึง 23 ชั้น และแน่นอนว่า ขั้นตอนการลงสีต้องใช้ช่างฝีมือของโรลส์-รอยซ์ทั้งหมด เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ฝีมือในการตวัดแปรงพู่กันลงสีด้วยเทคนิคพิเศษ สำหรับลูกค้าบางรายอาจเพิ่มเติมมูลค่าความสวยงามด้วยการตกแต่งที่มีเพชร ทอง หรืออัญมณีอื่นๆ ผสมอัดเข้ากับสี นอกจากราคาอัญมณีที่เพิ่มขึ้นมาต่างหากแล้ว กรรมวิธีนี้ยังต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของช่างด้วย

  • เก็บเสียงภายในด้วยฉนวน หลังคาแสงดาว ตู้ใส่วิสกี้ ตู้เย็นครบครัน

“โรลส์-รอยซ์” ใช้ฉนวนเก็บเสียง-กันความร้อนหนักถึง 300 ปอนด์ เพื่อป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกเข้ามายังห้องโดยสาร ทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่า จะสามารถคุยโทรศัพท์หรือทำธุระอื่นๆ ได้แบบไม่มีเสียงขับขี่จากภายนอกมารบกวน และสำหรับการตกแต่งภายในก็สามารถ “Customized” ได้อีกเช่นกัน

ลูกค้าสามารถเลือกวัสดุและของตกแต่งภายในเพิ่มเติมได้ อาทิ ตะกร้าปิคนิค ตู้เก็บไวน์ ตู้แช่วิสกี้ ตู้เซฟเก็บเครื่องเพชร ฯลฯ ในส่วนของหลังคาภายในตัวรถเป็นหลังคาแบบ “Starlight” คือ มีการตกแต่งด้วยทะเลดาวระยิบระยับ ลูกค้าสามารถเลือกกลุ่มดาวที่ต้องการได้ โดยวัสดุที่ใช้ทำจะเป็นไฟเบอร์ออปติกถักทอรวมกันหลายพันเส้นเพื่อสร้าวกลุ่มดาวให้มีความเสมือนจริงมากที่สุด

สำหรับเบาะที่นั่งเป็นงานปักสั่งทำพิเศษ หนังหุ้มเบาะทำมาจากหนังวัวกระทิงทำให้การเย็บหนังต้องใช้เวลานานและใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่มีความประณีตสูง จากข้อมูลระบุว่า รถยนต์ “โรลส์-รอยซ์” 1 คัน ใช้หนังวัวกระทิงมากถึง 8 ตัวเลยทีเดียว 

หรูยิ่งกว่าหรู! ทำไม ‘Rolls Royce’ ถึงแพงแบบไร้ที่สิ้นสุด?

  • ยางสั่งทำพิเศษ ศูนย์ล้อปรับตั้งตรงเสมอ

“โรลส์-รอยซ์” ใช้ยางพิเศษที่ผลิตโดย “Continental” เพื่อลดเสียงรบกวนจากพื้นถนนเวลาขับขี่ โดยยางชนิดนี้จะใช้โฟมชนิดพิเศษเป็นส่วนประกอบ ซึ่งนอกจากเสียงรบกวนที่ลดลงแล้วยังทำให้การขับขี่นุ่มนวลมากขึ้น และอีกหนึ่งข้อสังเกตที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยแต่ “โรลส์-รอยซ์” ให้ความสำคัญอย่างมาก คือ การปรับตั้งศูนย์ถ่วงล้อให้ตั้งตรงอยู่เสมอ โดยปกติโลโก้บริเวณล้อรถจะหมุนไปตามล้อ แต่ของ “โรลส์-รอยซ์” จะทำการปรับโลโก้ให้ตั้งตรงเสมอ แม้รถกำลังเคลื่อนตัวหรือล้อจะยังหมุนอยู่ก็ตาม ซึ่งนอกจากความสวยงามแล้วคุณลักษณะเช่นนี้ยังทำให้การออกตัวสตาร์ทรถทำได้ง่ายขึ้น เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของ “โรลส์-รอยซ์” ที่ไม่มีใครเหมือน


ด้วยความเฉพาะตัว ขายความเอ็กซ์คลูซีฟแบบนี้ จึงทำให้มูลค่า “โรลส์-รอยซ์” สูงกว่ารถยนต์ทั่วไปหลายสิบเท่า การทำงานของ “โรลส์-รอยซ์” จะเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าเข้ามาเท่านั้น ไม่ได้เป็นการผลิตรถยนต์จำนวนมากออกมาขายตามโชว์รูม บริการตลอดการขายจึงต้องอยู่ในความดูแลเป็นพิเศษเพื่อให้แน่ใจว่า ลูกค้าจะได้รับการบริการที่ดีเยี่ยมเหมาะสมกับราคากว่า 50 ล้านบาทที่ต้องจ่ายไป

 

อ้างอิง: Auto BestBusiness InsiderCartoqUp Town