เปิดเทรนด์คนรักสัตว์เลี้ยง ทำไม?..ทาสแมวมาแรง! จ่อแซงน้องหมา

ตลาดสัตว์เลี้ยง 5 ปีย้อนหลังมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 10-11% แนวโน้มอนาคตยังขยายตัวต่อเนื่อง ขานรับเทรนด์การเลี้ยงสัตว์ประหนึ่งลูกหรือ Pet Humanization คนรุ่นใหม่มีลูกน้อยลง เลี้ยงสัตว์แทน และเปย์เต็มที่ในฐานะเจ้าของหรือทาส

สัตวแพทย์หญิงกฤติกา ชัยสุพัฒนากุล ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ซึ่งมีประสบการณ์ให้การดูแล รักษาสัตว์เลี้ยงหลากชนิด โดยเฉพาะน้องหมา แมว เข้าสู่ปีที่ 30 พบเทรนด์มาแรงในหมู่คนรักสัตว์ คือบรรดา “ทาสแมว” เติบโตอย่างต่อเนื่อง และส่งสัญญาณอาจแซงการเลี้ยงน้องหมาด้วย

• ทาสแมวโตวันโตคืนจ่อแซงน้องหมา

การที่คนรักสัตว์หันมาเลี้ยงแมวเหมียวมากขึ้น มี 2 เหตุผลที่น่าสนใจ ดังนี้ 1.แมวเป็นสัตว์ตัวเล็กกว่าน้องหมา น้ำหนักอยู่ที่ 3-5 กิโลกรัม(กก.) ส่งผลให้กินอาหารน้อยกว่า ปริมาณยาที่ใช้ในการรักษาน้อยกว่า เป็นต้น เมื่อเทียบกับน้องหมา มีขนาดตั้งแต่ 1-70 กก.(ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) จึงมีผลต่อการกินอาหาร การดูแลรักษายามเจ็บไข้ได้ป่วย และมีผลต่อ “ค่าใช้จ่าย” ที่ตามมานั่นเอง 2.การเลี้ยงดูแมวง่ายกว่า สามารถเลี้ยงในคอนโดมิเนียมได้ ใช้พื้นที่ไม่มาก เมื่อเทียบกับหมา ที่ต้องมีพื้นที่ใหญ่ มีผลต่อการถ่ายหนักเบาของสัตว์

น้องหมา-แมวและบรรดาคนดังที่เป็นทาสรักทั้งหลาย

“เทรนด์การเลี้ยงแมวมีมากขึ้น เพราะเลี้ยงง่ายกว่า ไม่ติดคนมากนัก แมวมีความเป็นปัจเจก เมื่อเทียบกับน้องหมาที่ต้องคอยเดินตามเรา ตามเจ้าของ และการเลี้ยงแมว เมื่อตัวเล็กค่าใช้จ่ายต่ำกว่า”

แม้เลี้ยงแมวจะค่าใช้จ่ายเฉลี่ยน้อยกว่าเลี้ยงหมา แต่สำหรับทาสสายเปย์จะพบว่านิยมซื้อข้าวของ อาหารพรีเมียมให้แมวเต็มที่ เช่น ห้องน้ำแมวราคาหลักหมื่น ของเล่น ของกินต้องลักชัวรี่

สถานการณ์ดังกล่าว ยังสอดคล้องกับข้อมูลสัตว์เลี้ยงที่เข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ปัจจุบันเป็นแมว 40% จากเดิมอยู่ที่ 15% และเป็นหมา 80% สัตว์เลี้ยงประเภทอื่น 5% และการใช้จ่ายแต่ละครั้งเฉลี่ยกว่า 3,000 บาท จากเดิมราว 2,500 บาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายน้องหมาอยู่ที่ระดับ 3,500-3,800 บาท

• น้องหมาไซส์เล็กยอดฮิต

สัตวแพทย์หญิงกฤติกา ยังเล่าอีกว่า แม้แนวโน้มทาสแมวมากขึ้น แต่การเลี้ยงน้องหมาที่น่าสนใจ คือเจ้าของมองหาน้อง “ไซส์เล็ก” กว่าเดิม ด้วยเหตุผลของพื้นที่อยู่อาศัย เช่น คอนโดมิเนียม ขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่นัก และบางแห่งเปิดให้คนรักสัตว์ได้เลี้ยงตัวโปรดแล้ว

“เทรนด์เลี้ยงน้องหมาเริ่มเป็นไซส์ตัวเล็กไปจนถึงขนาดกลางๆ ส่วนตัวใหญ่ๆเลี้ยงน้อยลง เพราะต้องใช้พื้นที่เยอะ การอึ-ฉี่ลำบาก ถ้าไม่มีสนามหญ้า เป็นต้น”

• ขุมทรัพย์ตลาดสัตว์เลี้ยง 5.5 หมื่นล้านบาท

สำหรับภาพรวมตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยปี 2566 คาดการณ์มูลค่าแตะ 5.5 หมื่นล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อนและเป็นอัตราการเติบโตต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ย(CAGR) 10-11% ขณะที่ปี 2561 มูลค่าตลาดอยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท เติบโต 7% ปี 2562 มูลค่า 3.4 หมื่นล้านบาท เติบโต 10% ปี 2563 มูลค่า 3.8 หมื่นล้านบาท เติบโต 12% ปี 2564 มูลค่า 4.3 หมื่นล้านบาท เติบโต 13% และปี 2565 มูลค่า 5 หมื่นล้านบาท เติบโต 16%

แนวโน้มการเติบโตของตลาดสัตว์เลี้ยงที่ขยายตัว ยังส่งผลต่อคาดการณ์อนาคต ที่ประเทศไทยจะก้าวหน้าทัดเทียมกับสหรัฐฯ และจีน ที่การเลี้ยงสัตว์จะยกระดับสู่การดูแบบองค์รวม(holistic) มีความพรีเมียมมากขึ้น โดยเจ้าของยินดีจะจ่ายเงินเต็มที่เพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้ ของเล่น อาหารสัตว์ ตลอดจนการดูแลรักษาสัตว์เลี้ยงตัวโปรด

• โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ เปิดสาขา ร่วมทุน-ซื้อกิจการ ไทย-เทศ

จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ซึ่งดำเนินธุรกิจก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 ยังเดินหน้าพัฒนาโรงพยาบาลเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและตลาด โดยแผน 5 ปีจะมีการลงทุนต่อเนื่อง เพื่อขยายโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ 2 สาขาต่อปี การลงทุนขึ้นกับตลาดและทำเล หากซื้อที่ดินและสร้างอาคารขนาดใหญ่ลงทุนหลักร้อยล้าน เป็นต้น

นอกจากนี้ จะมีการซื้อและควบรวมกิจการ(M&A)กับโรงพยาบาลสัตว์ในท้องถิ่น เพื่อสร้างการเติบโตในอัตราเร่ง ซึ่งเป้าหมายต้องการปิดการเจรจากับพันธมิตรให้ได้ 3 แห่งต่อปี ส่วนรูปแบบความร่วมมือจะถือหุ้นในอัตรา 50% เท่ากัน หรือน้อยกว่า เช่น โรงพยายาลสัตว์ทองหล่อถือหุ้น 49% เป็นต้น ที่ผ่านมาโรงพยาบาลได้เข้าไปถือหุ้นแล้ว 2 แห่งที่ภูเก็ต และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ส่วนต่างประเทศแผน 8 ปี จะเปิดสาขาที่ประเทศเวียดนามให้ได้ 8 แห่ง หลังจากปลายปี 2565 เปิดสาขาแรก ภายใต้งบลงทุนกว่า 10 ล้านบาท ในรูปแบบการร่วมทุน(JV)

“ต่างประเทศเรากำลังมองหาโอกาสเพิ่ม ซึ่งมีพันธมิตรหลายประเทศติดต่อเข้ามาร่วมทุน ทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย เมียนมา และไต้หวัน หากเราจะไปลงทุน ปัจจัยแรกที่พิจารณาคือทำแล้วต้องทำให้ดี”

ส่วนแผนปี 2566 โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ใช้งบลงทุน 200-300 ล้านบาท เปิด 2 สาขาใหม่ที่ประชาชื่น และจังหวัดเชียงใหม่(สาขาที่ 2) ทำให้สิ้นปีมีโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ 20 แห่งเพื่อให้บริการแก่คนรักสัตว์ น้องหมา-แมว และปรับปรุงสาขาเดิมภายใต้งบลงทุน 75-100 ล้านบาท และการร่วมทุน ซื้อกิจการจะใช้เงินราว 10-15 ล้านบาทต่อแห่ง ปัจจุบันมีเจรจา 7-8 ดีล

• บทเรียน 30 ปี “สัตวแพทย์-นักธุรกิจ”

โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ เป็นรายแรกที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง(ชม.) โดยเกิดจาก Pain point ที่เห็นคนรักสัตว์ พาน้องหมาแมวที่เจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุ เข้ารับการรักษา ซึ่งขณะนั้น สัตวแพทย์หญิงกฤติกา เริ่มต้นกิจการที่สุขุมวิท 22 แม้จะเปิดทำการถึง 20.00 น. แต่รักษาจริง บางครั้งเที่ยงคืนยังไม่ได้กลับบ้าน จึงตัดสินใจเปิดโรงพยาบาลเพื่อให้บริการ 24 ชม.

จากสัตวแพทย์ อีกหมวกคือนักธุรกิจ แม้จะไม่ได้แม่นเกาะติดตัวเลขนัก แต่ทุกย่างก้าว ได้บทเรียนไม่น้อยจากการขับเคลื่อนองค์กร อย่างการตัดสินใจเปิดสาขาที่ “ขอนแก่น” เพราะคาดการณ์คนรักสัตว์จะมาก เนื่องจากเป็นเมืองใหญ่ อำนาจซื้อสูง แต่ทำจริง 2-3 ปีเผชิญสถานการณ์ “เจ๊ง!” เพราะขอนแก่นเป็นเมืองราชการ อุดรธาณีหมุดหมายแรกจะไปต่างหากที่มีกลุ่มเป้าหมายคนรักสัตว์

สัตวแพทย์หญิงกฤติกา ชัยสุพัฒนากุล

เปิดสาขาใหม่ ทำให้เป็นการสะสมที่ดินไปในตัว แต่นี่เพราะบทเรียนจาก “เช่าที่” ย่านลาดพร้าว แล้วเจ้าของดินที่ไม่ต่อสัญญา กลายเป็นความเสี่ยงธุรกิจ เมื่อย้ายไปทำเลใหม่ ย่านประดิษฐ์มนูธรรม พบว่าลูกค้าเก่าตามไปใช้บริการ 20% เท่านั้น รวมถึงสาขาทองหล่อ ที่เช่ามา 30 ปี จะต่อสัญญาก็ไม่ได้ ทำให้แผนการเติบโตต้องปิดจุดอ่อน(weaknesses) ด้วยการ “ซื้อที่ดิน” เพื่อเปิดโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อสาขาใหม่ๆ ซึ่งต้องใช้เงินหลัก “ร้อยล้านบาท”

“80% ของโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อคือซื้อที่ดินเพื่อสร้าง นี่คือการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในการทำธุรกิจ ที่ลาดพร้าวเราไม่ได้รับการต่อสัญญาเช่าที่ดิน ทองหล่อก็ไม่ต่อ ต้องหาที่ใหม่ อย่างสาขาพระราม 9 เรากู้แบงก์ 500-600 ล้านบาท ซื้อที่ดิน ต้องสร้างรายได้เพื่อหาเงินคืนแบงก์ให้เร็วที่สุด”

ผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อปี 2565 ทำรายได้รวม 1,143 ล้านบาท กำไรสุทธิ 134 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้ามีรายได้ 961 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 101 ล้านบาท