'ไทยเที่ยวนอก' ปี 66 ฟื้น 7.5 ล้านคน 'เงินเยนอ่อนค่า' หนุน 'ญี่ปุ่น' ฮอตแตะ 8 แสน

โชติช่วง ศูรางกูร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท หนุ่มสาวทัวร์ จำกัด และอุปนายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) ซึ่งเป็นสมาคมของบริษัททัวร์พาคนไทยไปต่างประเทศ กล่าวว่า แนวโน้มสถานการณ์คนไทยเที่ยวต่างประเทศช่วงครึ่งหลังปี 2566 กลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไปที่มีกำลังซื้อ ออกไปเที่ยวอยู่แล้ว แม้ราคาตั๋วเครื่องบินจะยังสูง แต่พร้อมจ่าย ขณะเดียวกันองค์กรต่างๆ ได้มีการจัดทริปจูงใจเพื่อกระตุ้นยอดขายในภาวะเศรษฐกิจแย่แบบนี้ ทำให้กลุ่มนักเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (อินเซนทีฟกรุ๊ป) ยังออกไปเที่ยวต่างประเทศตลอดทั้งปี

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัย “เงินเยนอ่อนค่า” มาช่วยกระตุ้นคนไทยเดินทางไปจับจ่ายที่ “ญี่ปุ่น” อย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มทั้งปีนี้น่าจะมีคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นถึง 8 แสนคน เป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมมากเป็น “อันดับ 1” จากคาดการณ์คนไทยเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศทั้งหมดประมาณ 7.5 ล้านคน

หลัง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.) มีจำนวนคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นสะสม 5 แสนคน ครองส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นเป็น 12% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดเดินทางเข้าญี่ปุ่น จากภาวะปกติเมื่อปี 2562 มีคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นมากถึง 1.3 ล้านคน ครองสัดส่วน 10% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักท่องเที่ยวจีนยังเดินทางไม่มาก

“ตลาดคนไทยไปญี่ปุ่นน่าจะดีอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง จากการรุกโปรโมตของหน่วยงานภาครัฐญี่ปุ่น หลังเศรษฐกิจญี่ปุ่นไม่ดี เหลือภาคท่องเที่ยวเป็นเครื่องจักรเดียวในการกระตุ้นรายได้หลักเข้าประเทศ และสายการบินกำลังพิจารณาเปิดเส้นทางบินจากไทยไปญี่ปุ่นเพิ่ม เช่น ไทยเวียตเจ็ท ซึ่งกำลังขยายฝูงบินและศึกษาการเปิดเส้นทางไปญี่ปุ่นเพิ่มในเดือน ต.ค.นี้”

อย่างไรก็ตาม แม้ดีมานด์คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นจะมีจำนวนมาก แต่ “สายการบิน” ยังคงกังวลดีมานด์อีกฝั่ง ว่าคนญี่ปุ่นมาเที่ยวไทยจะไม่สมดุลกัน เนื่องจากในภาวะที่ประเทศญี่ปุ่นกำลังมีปัญหาเศรษฐกิจ คนญี่ปุ่นจะตระหนักว่าต้องประหยัด เน้นใช้จ่ายในประเทศเป็นหลัก หลังเงินเยนอ่อนค่าถึง 20% และยังไม่เห็นทางออกของ “เศรษฐกิจญี่ปุ่น” ซึ่งตอนนี้เหลือภาคท่องเที่ยวเป็นทางเลือกเดียวในการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ!

ด้านจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมรองลงมาในปีนี้ สมาคมฯ ประเมินว่าอันดับ 2 คือ “เกาหลีใต้” น่าจะมีคนไทยเดินทางไปถึง 5.5 แสนคน อันดับ 3 คือ “เวียดนาม” แน่นอน ส่วนอันดับ 4-5 คาดว่าจะเป็น “ฮ่องกง” และ “สิงคโปร์”

โชติช่วง กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้พร้อมเสนอแนะภาครัฐเรื่องการคลายข้อจำกัดด้านการเก็บค่าเหยียบแผ่นดินที่จะเก็บจากนักท่องเที่ยวขาเข้า และการเก็บภาษีจากนักท่องเที่ยวขาออกจากประเทศ รวมถึงการจัดเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อน (VAT on Outbound) ขณะที่นักท่องเที่ยวมีทางเลือกในการจองสถานที่ท่องเที่ยวได้ด้วยตัวเอง เพราะปัจจุบันแพลตฟอร์มสำหรับการท่องเที่ยวมีเพิ่มมากขึ้น ถ้ามองในแง่ดีจะเป็นการช่วยส่งเสริมให้ตลาดท่องเที่ยวใหญ่ขึ้นขณะที่ผลต่อบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ (Online Travel Agency: OTA) และบริษัททัวร์มองว่าได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย

พัทธ์ธีรา อนันต์โชติพัชร ผู้บริหาร KTC World Travel Service และการตลาดท่องเที่ยวหมวดสายการบิน บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “เคทีซี” กล่าวว่า ภาพรวมการใช้จ่ายในหมวดอุตสาหกรรมท่องเที่ยวผ่านบัตรเครดิตเคทีซีปรับตัวดีขึ้นตามการเติบโตของการท่องเที่ยว พบว่าครึ่งปีแรกขยายตัวเพิ่มขึ้น 90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตขึ้น 25% จากช่วงปี 2562  โดยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ สูงสุดแยกตามหมวด ได้แก่ สายการบิน เอเย่นต์ท่องเที่ยว (ทั้งออนไลน์และออฟไลน์) โรงแรม รถเช่า-รถไฟ-การเดินทางขนส่ง และแหล่งท่องเที่ยวกับกิจกรรมสันทนาการ 

“หลังการเปิดรับนักท่องเที่ยวในหลายประเทศ ส่งผลให้สมาชิกผู้ถือบัตรฯ วางแผนท่องเที่ยวต่างประเทศมากยิ่งขึ้น เมื่อเรียงลำดับประเทศยอดนิยม พบว่า ญี่ปุ่น ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับ 1 รองลงมาคือ เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส ฮ่องกง และเวียดนาม โดยยอดเฉลี่ยการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีต่อสมาชิกในหมวดท่องเที่ยวอยู่ที่ 17,000 บาท”

ก่อนหน้านี้ รายงานข่าวจาก “องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี” (KTO) ระบุว่า ในยุคหลังโควิด-19 พบว่าช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 มีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเกาหลีฟื้นตัวเร็วที่สุดและมีจำนวนมากเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน โดยนักท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว 70-80% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 และตลอดปีนี้ตั้งเป้าเห็นการฟื้นอย่างน้อย 70-80% ของจำนวน 5.7 แสนคนเมื่อปี 2562