เข้มวีซ่า ‘ทัวริสต์จีน’ สกัด ‘จีนเทา’ เกาไม่ถูกที่คัน หวั่นพลาดเป้า 5 ล้านคน

เข้มวีซ่า ‘ทัวริสต์จีน’ สกัด ‘จีนเทา’ เกาไม่ถูกที่คัน หวั่นพลาดเป้า 5 ล้านคน

‘แอตต้า’ มองมาตรการเข้มวีซ่า ‘นักท่องเที่ยวจีน’ สกัด ‘กลุ่มจีนเทา’ เกาไม่ถูกที่คัน หวั่นพลาดเป้าดึง 5 ล้านคนในปีนี้ ด้าน ‘สมาคมโรงแรมไทย’ วอนภาครัฐใส่ใจ บังคับใช้กฎหมาย อย่าปล่อยผ่านสิ่งผิดกฎหมายกลายร่างเป็นถูกกฎหมาย

นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า คาดการณ์ว่าแนวโน้มนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยทั้งปี 2566 จะไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ 5 ล้านคน เพราะเป็นเรื่องยาก หลัง 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.) มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยจำนวนประมาณ 1.3 ล้านคนเท่านั้น

สำหรับสาเหตุที่นักท่องเที่ยวจีนยังเดินทางเข้าประเทศไทยน้อยกว่าที่ภาครัฐตั้งเป้าหมาย เพราะการวางเงื่อนไขในการอนุมัติวีซ่าเพื่อป้องกันกลุ่มจีนเทา หรือ แก๊งชาวจีนที่เข้ามาหากินแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย

โดยกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ตั้งเงื่อนไขการอนุมัติวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนเข้มงวดมากขึ้น อาทิ นักท่องเที่ยวจีนที่ต้องการขอวีซ่าเข้าไทย ต้องมีหลักฐานแสดงเงินในบัญชีธนาคาร (Statement) เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 หยวน หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 2.5 แสนบาท ถือเป็นการสร้างเงื่อนไขที่ยากยิ่งกว่าการเดินทางไปเที่ยวยุโรปหรือสหรัฐเสียอีก

นอกจากนี้ กต.ยังได้ขอความร่วมมือไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของฝั่งจีน ให้ช่วยตรวจสอบตั้งแต่ต้นทาง ก่อนอนุมัติให้ชาวจีนออกนอกประเทศมาเที่ยวไทย ส่งผลให้เกิดความยุ่งยาก เป็นการเข้มงวดกับกลุ่มนักท่องเที่ยวจริงๆ ที่เดินทางมากับบริษัททัวร์ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับจีนเทา เพราะกลุ่มจีนเทาจะไม่มาขอวีซ่าร่วมกับกลุ่มนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์อยู่แล้ว แต่จะเดินทางมาจากประเทศที่ 3 หรือถือหนังสือเดินทางของชาติที่ 3 เข้ามาแทน ซึ่งมาตรการตรวจสอบตั้งแต่ต้นทางและเข้มงวดกับนักท่องเที่ยวจีน ไม่ได้กระทบแค่นักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อนักธุรกิจชาวจีนอีกด้วย

นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งมีขนาดใหญ่และเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ต้องมีหน่วยงานกำกับดูแลอย่างจริงจัง ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย จนเรื่องที่ผิดกฎหมาย กลายเป็นเรื่องถูกกฎหมาย อยากให้ทำให้สิ่งที่ถูกต้อง เพื่อความเป็นธรรมและความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย

“ภาครัฐและผู้ประกอบการต้องมาร่วมกันคลี่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยว หากไม่ลุกขึ้นมาทำอะไร หรือเตรียมความพร้อม เพื่อความยั่งยืนของภาคการท่องเที่ยว กังวลว่ากลุ่มทุนต่างชาติจะเข้ามาทำธุรกิจแบบเดิมในไทย เหมือนอดีตก่อนการระบาดของโควิด-19 ที่กลุ่มคนจีนเข้ามาซื้ออพาร์ตเมนต์รับนักท่องเที่ยวจีนเสียเอง”

นางมาริสา กล่าวว่า สมาคมโรงแรมไทยมี 993 แห่ง 160,000 ห้อง จ้างงานประมาณ 50,000 ตำแหน่ง คิดเป็นสัดส่วน 26% ของโรงแรมที่จดทะเบียนถูกต้อง เฉลี่ยเข้าพัก 65% ราคาเฉลี่ย 2,000 บาทต่อห้อง มีรายได้ ประมาณ 80,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะมีความเชื่อมโยงกับซัพพลายเชนกับอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ ทั้งอุปโภค บริโภคที่สำคัญ

สำหรับช่วง 6 เดือนปีของปีนี้ อัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเดือน มิ.ย. มีอัตราเข้าพักอยู่ที่ 60.65% เพิ่มขึ้นจากเดือน พ.ค. ที่อัตราเข้าพักอยู่ที่ 57.6% ส่วนตลอดปี 2566 คาดว่าอัตราการเข้าพักจะอยู่ที่ 60-65% ซึ่งอัตราเข้าพักทั้งปีจะได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ นั่นหมายถึงนักท่องเที่ยวจีนต้องเดินทางเข้ามาไทยได้ตามเป้าหมายขั้นต่ำ 5 ล้านคน แต่หากจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ อัตราการเข้าพักทั้งปีเฉลี่ย น่าจะอยู่ที่ประมาณ 60% ของจำนวนห้องพัก