'อินเดีย' มหาอำนาจใหม่ 'การบินโลก' ดีมานด์ทะลักแน่ 'ท่องเที่ยวไทย' ต้อง Win!

'อินเดีย' มหาอำนาจใหม่ 'การบินโลก'  ดีมานด์ทะลักแน่ 'ท่องเที่ยวไทย' ต้อง Win!

“อินเดีย” ขึ้นแท่นมหาอำนาจใหม่ของการบินโลก! เมื่อสายการบินแห่งแดนภารตะประกาศศักดาภายในงาน “ปารีส แอร์ โชว์ 2023” ด้วยการทุบสถิติสั่งซื้อเครื่องบินมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของการบินพาณิชย์

โดยเฉพาะ “อินดิโก” (Indigo) สายการบินขนาดใหญ่ที่สุดในอินเดีย ปิดดีลประวัติศาสตร์! สั่งซื้อเครื่องบินแบบทางเดินเดี่ยวตระกูล A320 จากค่าย “แอร์บัส” ในครั้งเดียวเป็นจำนวนมากถึง 500 ลำ จากข้อตกลงฉบับล่าสุดทำให้มีจำนวน เครื่องบินแอร์บัส ที่สั่งซื้อโดยสายการบินอินดิโกรวมทั้งสิ้น 1,330 ลำ ถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดในโลกของเครื่องบินตระกูล A320

ปีเตอร์ เอลเบอร์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินอินดิโก กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะบรรยายถึงความสำคัญของการสั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัสตระกูล A320 จำนวน 500 ลำครั้งใหม่นี้ของ สายการบินอินดิโก ขณะนี้ยอดสั่งซื้อเครื่องบินมีจำนวนเกือบ 1,000 ลำซึ่งเป็นจำนวนที่รองรับถึง 10 ปีข้างหน้า ทำให้สายการบินอินดิโกบรรลุพันธกิจที่จะเดินหน้าส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความสามัคคีทางสังคม และการเดินทางในอินเดีย 

“สายการบินอินดิโกมีความภาคภูมิใจในการเป็นสายการบินยอดนิยมของอินเดียที่ใช้สำหรับเดินทางเชื่อมต่อทั้งภายในและระหว่างประเทศ และเป็นหนึ่งในสายการบินชั้นนำของโลก คำสั่งซื้อนี้เป็นการยืนยันความเชื่อของสายการบินอินดิโกที่มีต่อการเติบโตของประเทศอินเดีย”

“แอร์อินเดีย” สายการบินแห่งชาติของประเทศอินเดีย ไม่ยอมน้อยหน้า! ลงนามในข้อตกลงสั่งซื้อเครื่องบินจำนวน 470 ลำ กับสองผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ของโลก ทั้งค่าย “แอร์บัส” ฝั่งยุโรป และค่าย “โบอิ้ง” ฝั่งสหรัฐ ภายในงาน ปารีส แอร์ โชว์ 2023 เช่นกัน

โดยข้อตกลงการสั่งซื้อเครื่องบินดังกล่าว ประกอบด้วย

  • แอร์บัส A320neo จำนวน 140 ลำ
  • แอร์บัส A321neo จำนวน 70 ลำ
  • แอร์บัส A350-900 จำนวน 6 ลำ
  • แอร์บัส A350-1000 จำนวน 34 ลำ
  • โบอิ้ง 737Max จำนวน 190 ลำ
  • โบอิ้ง 787 ดรีมไลเนอร์ส จำนวน 20 ลำ
  • โบอิ้ง 777X จำนวน 10 ลำ

เมื่อรวมเฉพาะคำสั่งซื้อเครื่องบินของสายการบิน “อินดิโก” และ “แอร์อินเดีย” ภายในงานปารีส แอร์ โชว์ 2023 แล้ว พบว่ามีจำนวนมากเฉียด 1,000 ลำเลยทีเดียว!

ปรีชา จำปี ผู้จัดการทั่วไปห้างหุ้นส่วนจำกัด เดสติเนชั่น สยาม ผู้นำตลาดท่องเที่ยวอินเดีย กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า เมื่อสายการบินของอินเดียสั่งซื้อเครื่องบินจำนวนมหาศาล ก็ต้องทำการบินเชิงพาณิชย์มากขึ้น ด้วยการหา จุดหมายปลายทางท่องเที่ยว จึงเป็นโอกาสดีของประเทศไทยในการคว้าชัย (Win) จากศึกแย่งชิง “นักท่องเที่ยวอินเดีย” จากฐานประชากรใหญ่ที่สุดในโลกกว่า 1.4 พันล้านคน และมีประชากรอายุต่ำกว่า 25 ปีจำนวนเกิน 600 ล้านคน พร้อมออกท่องเที่ยวทั่วโลกในอีก 5-10 ปีข้างหน้า

“จำนวนคำสั่งซื้อเครื่องบินล่าสุดของสายการบินจากประเทศอินเดีย ถือว่ายังน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับจำนวนประชากร โดยเฉพาะกลุ่มอายุต่ำกว่า 25 ปีที่จะขึ้นมาเป็นวัยทำงานและพร้อมออกท่องเที่ยว”

ทว่าปัจจุบัน 99% ของจำนวนเที่ยวบินจากฝั่งอินเดียเข้าไทย บินลงแค่ 3 จุดบินหลัก คือ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และภูเก็ต ทำให้ชาวอินเดียนิยมไปเที่ยวแค่ “3 เมืองหลัก” คือ กรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต (ขายพ่วงกระบี่) สายการบินยังเลือกทำการบินไปเมืองอื่นๆ น้อยมาก แค่ 1% เท่านั้น

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ประกอบการในพื้นที่ “เมืองรอง” ของไทยสำหรับตลาดอินเดีย เช่น เชียงใหม่ กระบี่ กาญจนบุรี สมุย เขาใหญ่ และหัวหิน ยังไม่มีความพร้อม! “ไม่เข้าใจจริตและวัฒนธรรมของคนอินเดีย” โดยเฉพาะอาหารการกินซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากคนอินเดียมีวัฒนธรรมการกินหลากหลาย มีทั้งกลุ่มคนที่กินอาหารมังสวิรัติ กลุ่มอื่นๆ ที่เลือกกินหรือไม่กินอาหารบางชนิด ผู้ประกอบการหลายรายยังเข้าใจอยู่เลยว่าคนอินเดียกินอาหารฮาลาล แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ คนอิสลามกินอาหารฮาลาล ส่วนคนอินเดียกว่า 80% เป็นคนฮินดู โดยลูกค้าชาวอินเดียเมื่อเดินทางไปเที่ยวพื้นที่เมืองรองแล้ว ฟีดแบ็กกลับมาว่า ไม่แฮปปี้เรื่องอาหาร! แต่พอมาเที่ยวกรุงเทพฯและพัทยา มีร้านอาหารอินเดียรองรับจำนวนมาก ทำให้นักท่องเที่ยวยังเลือกเดินทางไปเฉพาะ 3 เมืองหลักดังกล่าว

“ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและบริการในไทยต้องปรับกรอบความคิด (Mindset) อย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองรองของตลาดอินเดีย”

ถ้าแก้ปัญหาการขาดแคลนร้านอาหารอินเดียได้ จะช่วยส่งเสริมให้มี “เที่ยวบินตรง” เข้าเมืองเหล่านั้นมากขึ้น เพราะประเทศไทยอยู่ใน “Top List” ของดีมานด์นักท่องเที่ยวอินเดียอยู่แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นก็จะ “Win”  ได้อย่างเต็มที่

แต่ถ้ายังไม่ปรับตัว ก็อาจจะเห็นภาพนักท่องเที่ยวอินเดียทะลักเข้าเฉพาะกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ตเท่านั้น เกิดปัญหาความแออัด ทำให้เสียเรื่องคุณภาพ ส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพมีศักยภาพใช้จ่ายสูงไม่อยากมา ทั้งที่นักท่องเที่ยวอินเดียกลุ่มนี้กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งอาจเลือกไปเที่ยวประเทศอื่นแทน เช่น “เวียดนาม” ที่กำลังมาแรง แย่งชิงนักท่องเที่ยวอินเดียไปจากไทยจำนวนมาก จากที่ก่อนโควิด-19 ระบาด ไม่ค่อยมีคนอินเดียไปเวียดนามเลย เนื่องจากประเทศไทยยังขายแค่ 3 เมืองหลัก ซึ่งขายมานานกว่า 20 ปีแล้ว!

“ภาคท่องเที่ยวไทยต้องเร่งโปรโมตทั้งเมืองหลักและเมืองรองอื่นๆ ที่ยังไม่อยู่ในเรดาร์ของนักท่องเที่ยวอินเดียขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นตัวเลือกเพิ่ม เพราะในอนาคต 5-10 ปีข้างหน้า ตลาดนักท่องเที่ยวอินเดีย ติดอันดับ TOP 3 อยู่แล้วของตลาดต่างชาติเที่ยวไทย โดยหน่วยงานภาครัฐต้องช่วยผลักดันเรื่อง ‘สิทธิการบิน’ ระหว่างไทยกับอินเดียด้วย”

ถ้าแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ดีมานด์นักท่องเที่ยวอินเดียจะเบนเข็มทิศมาเยือนไทยมากขึ้น ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของสายการบินกับบริษัททัวร์วิ่งหาดีมานด์เอง!

 

\'อินเดีย\' มหาอำนาจใหม่ \'การบินโลก\'  ดีมานด์ทะลักแน่ \'ท่องเที่ยวไทย\' ต้อง Win!