อินเดียกำลังมาแรง แต่จะแซงจีนได้หรือ

อินเดียกำลังมาแรง แต่จะแซงจีนได้หรือ

Tesla ประกาศจะไปลงทุนใหญ่ในอินเดีย และได้รับการตอบกลับด้วยความเต็มใจโดยนายกรัฐมนตรี Modi ของอินเดีย ระหว่างการเดินทางมาเยือนสหรัฐในสัปดาห์นี้ และการต้อนรับแบบภูมิฐานสมเกียรติโดยทำเนียบขาวและรัฐสภาสหรัฐฯต่อผู้นำอินเดียครั้งนี้ ส่งสัญญาณชัดเจนว่าสหรัฐฯเห็นความสำคัญ และต้องการเอาอินเดียมาเป็นพันธมิตรอย่างเห็นได้ชัด

ผู้นำจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกาเข้าแถวขอพบและจัดเลี้ยงต้อนรับครั้งนี้ ชี้เห็นถึงทิศทางและเงื่อนไขเศรษฐกิจการเมืองและความมั่นคงของโลกที่กำลังปรับเปลี่ยน

ย้อนอดีตเมื่อปีค.ศ. 2005 รัฐบาลสหรัฐสมัยประธานาธิบดีบุช เคยปฏิเสธวีซ่าไม่ให้ Modi เข้าสหรัฐเป็นเวลา 10 ปี เนื่องจากตอนสมัยที่ Modi เป็นเจ้าหน้าที่สูงสุดของรัฐ Gujarat ถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ทำให้ชาวฮินดูทำลายชีวิตและทรัพย์สินของชาวมุสลิมซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย

แต่การมาเยือนสหรัฐครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ 6 นับตั้งแต่ Modi เป็นนายกมาตั้งแต่ปีค.ศ. 2014 ถือว่าเป็นการเยือนที่ดูพิเศษที่สุดเปรียบเสมือนการพลิกสถานการณ์และศักดิ์ศรีของอินเดียอย่างมหัศจรรย์

อินเดียมีอำนาจการต่อรองสูงมากกับสหรัฐในปัจจุบัน ในความเห็นส่วนตัวของผมแล้วคิดว่าอยู่ที่เรื่องใหญ่สามประการคือ 1) ความมั่นคง 2) การค้า 3) ทรัพยากรมนุษย์

ข้อแรกคือสหรัฐใช้อินเดียถ่วงดุลอำนาจกับจีน

สหรัฐกำลังดิ้นรนปรับตัวในฐานะเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งซึ่งกำลังถูกท้าทายจากหลายพลัง โดยเฉพาะที่เด่นสุดคือการเติบโตอย่างรวดเร็วของจีน

สหรัฐให้ความสำคัญมากกับมหาสมุทรแปซิฟิก ขณะที่อินเดียมีความสามารถอยู่จำกัดในภูมิภาคเขตมหาสมุทรอินเดีย หากสหรัฐและพันธมิตรสามารถจะดึงอินเดียเข้ามาร่วมมือ ยุทธศาสตร์ความมั่นคงของระเบียบโลกในปัจจุบันซึ่งนำโดยทางตะวันตกจะเห็นผลชัดเจน

อินเดียพยายามวางตัวเป็นกลางมาตลอด แต่สถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจจะบังคับให้อินเดียต้องเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ทางสหรัฐและพันธมิตรตะวันตกยื่นสินจ้างรางวัลและกดดันให้อินเดียต้องเลือกข้าง

โดยระยะหลังเห็นได้ชัดจากกรณีสงครามในยูเครน ซึ่งอินเดียพยายามที่จะไม่ตัดความสัมพันธ์ หรือประณามรัสเซีย แต่กลับซื้อพลังงานจากรัสเซียเพิ่มขึ้น แม้รัฐบาลจะไม่พอใจที่ห้ามอินเดียไม่ได้ แต่เกรงว่าจะเสียความสัมพันธ์ จึงยินยอมให้อินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซียต่อไป โดยมีเงื่อนไขว่า อินเดียต้องซื้อในราคาต่ำที่สุดและไม่เกินเพดานที่ประเทศทางตะวันตกตั้งไว้ที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ก่อนสงครามในยูเครนน้ำมันจากรัสเซียส่งออกไปยุโรป 55% และ 20% ส่งไปจีนและอินเดีย แต่ขณะนี้ตัวเลขสลับกันคือยอดขายของน้ำมันจากรัสเซียส่งไปจีนและอินเดียประมาณ 50% อีก 20% ส่งเข้ายุโรป

และสหรัฐฯเสนอความร่วมมือพัฒนาด้านอาวุธ เพื่อลดการพึ่งพาด้านอาวุธจากรัสเซีย

ข้อสองคืออินเดียจะเป็นแหล่งลงทุนใหญ่และเป็นตลาดที่สำคัญของสหรัฐ

อินเดียกำลังเป็นพลังใหม่ พลังใหญ่ เนื้อหอม จำนวนประชากรโตขึ้นข้ามเป็นอันดับหนึ่งของโลกเกินจีนแล้ว และมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยกว่า 6% ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี จึงเป็นเป้าหมายที่สหรัฐต้องการลงทุนและใช้เป็นตลาด และปริมาณการค้าของอินเดียจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกแบบเชื่อมโยง และอเมริกามีตลาดของตนเองเป็นข้อแลกเปลี่ยน

ระบบการเงินการธนาคาร การประกัน และสวัสดิการของรัฐต่างๆในอินเดียยังแตกต่างจากอเมริกามาก และอาจจะเป็นอุปสรรคในการค้าขายลงทุนระหว่างกันในระยะแรก แต่ทั้งสองรัฐบาลก็แสดงถึงความมั่นใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะปรับเปลี่ยนเองโดยธรรมชาติ

ข้อสามคือประชากรของอินเดียเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่จะมีประโยชน์โดยตรงต่ออเมริกา

นักศึกษาจากอินเดียในสหรัฐปัจจุบันประมาณกว่า 200,000 คน ในจำนวนนี้ 76% เรียนด้าน STEM (science, technology, engineering, and mathematics) ซึ่งเป็นวิชาเฉพาะใช้ความเชี่ยวชาญและเหมาะสำหรับเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนา

นักศึกษาชาวอินเดียกว่า 20% จะลงเอยอยู่ตั้งถิ่นฐานและทำงานถาวรในสหรัฐ ผู้นำหลายบริษัทชั้นนำของสหรัฐเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดียที่มีคุณภาพโดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี (Google, FedEx, Albertsons, IBM, Micron Technology, Starbucks, Adobe, Twitter, etc) และการแพทย์พยาบาล เป็นสิ่งที่สหรัฐเห็นประโยชน์มากจากชาวอินเดีย

ชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดียในปัจจุบันมีประมาณ 5,000,000 คน และเป็นกลุ่มประชากรที่มีรายได้เฉลี่ยต่อคนสูงที่สุดในบรรดาประชากรทั้งหมดทุกกลุ่มในสหรัฐ ทั้งนี้เป็นเพราะระดับการศึกษาชั้นสูงและอาชีพการทำงานที่มีคุณภาพ

ส่วนประชากรที่อยู่ในอินเดียซึ่งมีจำนวนมากกว่า 1,400 ล้านคนนั้น 900 ล้านคน เป็นบุคคลวัยทำงาน และอัตราการว่างงานในอินเดียปัจจุบันอยู่ประมาณ 8.3% ซึ่งสูงกว่าสหรัฐที่ 3.5% หมายถึง อินเดียมีทรัพยากรมนุษย์ที่จะสร้างผลผลิตเพื่อการส่งออกสู่ประเทศที่มีกำลังการค้าสูงรวมทั้งสหรัฐด้วย

ส่วนเรื่องอินเดียจะแซงจีนในความสัมพันธ์กับสหรัฐได้หรือไม่นั้น คงเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอีกต่อไป เพราะถึงแม้ว่าปัจจุบันจะเห็นความขัดแย้งและการแข่งขันอย่างรุนแรงของสองมหาอำนาจสหรัฐและจีน แต่ก็เห็นความพยายามที่จะประสานรอยร้าว สหรัฐและจีนยังค้าขายกันอยู่ซึ่งปัจจุบันตัวเลขยิ่งสูงกว่าทุกๆปีที่ผ่านมา ความพึ่งพาทางเศรษฐกิจยังเห็นได้ชัด(690,000 ล้านดอลลาร์ปี 2022)

แม้อินเดียกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ต้องใช้เวลาและตัวละครสำคัญต่างๆในโลกก็กำลังปรับตัว แนวโน้มอาจจะเห็นอินเดียเพิ่มจีดีพีขึ้นมาเป็นอันดับสามรองจากสหรัฐและจีน ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะไทยจะได้ผลประโยชน์อย่างมหาศาล เพราะภูมิรัฐศาสตร์รวมทั้งความสัมพันธ์อันดีที่ไทยพยามรักษาไว้กับจีนและอินเดียซึ่งอยู่ใกล้ และสหรัฐซึ่งอยู่ไกลมาโดยตลอดครับ