'คลูก' เปิด 5 เทรนด์ทัวริสต์เจน Y-Z 'เที่ยวล้างแค้น' ตกยุค! รุกหาแรงบันดาลใจ

'คลูก' เปิด 5 เทรนด์ทัวริสต์เจน Y-Z  'เที่ยวล้างแค้น' ตกยุค! รุกหาแรงบันดาลใจ

เทรนด์พฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ ทั้งกลุ่ม 'มิลเลนเนียม' และ 'เจน Z' ในยุคหลังโควิด-19 เป็นอย่างไร? 'Klook' (คลูก) แพลตฟอร์มในการจองกิจกรรมและประสบการณ์การท่องเที่ยวชั้นนำระดับเอเชีย ลุยสำรวจความคิดเห็นเพื่อเข้าถึงอินไซต์น่าสนใจ

วิลเฟร็ด ฟาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายพาณิชย์ Klook เปิดเผยว่า จากงานวิจัย “The Summer Color Survey” สำรวจเมื่อเดือน พ.ค. 2566 โดยมีผู้ร่วมทำแบบสำรวจ 708 คน ครอบคลุม 7 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย ชี้ให้เห็นถึง 5 เทรนด์การท่องเที่ยวสำคัญของกลุ่มนักท่องเที่ยวมิลเลนเนียลและเจน Z ดังนี้

 

เทรนด์ที่ 1 หมดยุค “Revenge Travel”

นักท่องเที่ยวมิลเลนเนียลและเจน Z เป็นกลุ่มแรกๆ ที่พร้อมออกเดินทางนอกประเทศทันที หลังจากที่นโยบายและข้อจำกัดของการเดินทางได้ผ่อนคลาย ดังนั้นเทรนด์ “Revenge Travel” หรือ “เที่ยวล้างแค้น” หลังจากที่เปิดประเทศจึงได้ตกยุคไปเรียบร้อยแล้วสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เพราะทริปที่กำลังจะเกิดขึ้นนับจากนี้ไม่ใช่ทริปแรกหลังเปิดประเทศของพวกเขาอีกต่อไป 

จากผลสำรวจพบว่า ชาวมิลเลนเนียลและเจน Z ออกเดินทางในช่วงครึ่งปีหลังเพราะต้องการเติมเต็มความหมายของชีวิต และสร้างแรงบันดาลใจ โดยผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า 56% ของกลุ่มมิลเลนเนียลชาวไทยกำลังวางแผนท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงเดือน มิ.ย.-ส.ค.นี้ อีกด้วย 

 

เทรนด์ที่ 2 “แรงบันดาลใจคือเหตุผลที่ทำให้ชาวมิลเลนเนียลออกเดินทาง”

ผลสำรวจเผยว่า 1 ใน 4 ของกลุ่มมิลเลนเนียลและเจน Z ในเอเชีย ออกเดินทางเพื่อค้นหาแรงบันดาลใจ โดย 44% บอกว่าได้รับแรงบันดาลใจจากการออกไปสัมผัสกับธรรมชาติ และ 28% เผยว่าได้รับแรงบันดาลใจจากการเที่ยวชมเมือง ทั้งนี้กลุ่มมิลเลนเนียล 1 ใน 3 มีความสนใจที่จะทำกิจกรรมที่ได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรม อาทิ การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ หรือการเข้าร่วมเวิร์คช็อปงานศิลปะ

 

เทรนด์ที่ 3 “เที่ยวเพื่อการพักผ่อน ตอบโจทย์มิลเลนเนียล”

ผลวิจัยยังได้สำรวจต่อไปว่า เมื่อชาวมิลเลนเนียลและเจน Z ตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวนั้น พวกเขาจะให้ความสำคัญกับแรงขับเคลื่อนทางอารมณ์แบบไหนมากที่สุด ซึ่งผลวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่า 72% ของมิลเลนเนียลต้องการเดินทางเพื่อพักผ่อน โดยกิจกรรมที่เลือกก็จะเป็น ทำสปา, ขับรถเล่น, เดินเล่นชมธรรมชาติ หรือเรียนทำอาหารเป็นต้น ส่วน 59% ตอบว่า ต้องการเดินทางเพราะอยากสัมผัสกับอิสระ กิจกรรมที่กลุ่มนี้ชื่นชอบก็จะเป็น เที่ยวทะเล, เล่นเซิร์ฟ, พายคายัก, เล่นสกี เป็นต้น ส่วนอีก 47% ต้องการเดินทางเพื่อค้นหาความสนุก ผ่านกิจกรรมสวนน้ำสวนสนุกและชอปปิง 

 

เทรนด์ที่ 4 “ค้นหากิจกรรมท่องเที่ยวก่อนจองโรงแรม”

ในอดีต ลำดับการเตรียมจองกิจกรรมและบริการท่องเที่ยวนั้น นักท่องเที่ยวมักจะจองตั๋วเครื่องบินเป็นลำดับแรก  ตามด้วยจองโรงแรมที่พัก แล้วจึงวางแผนกิจกรรมท่องเที่ยว แต่จากข้อมูล SEM ของ Klook สะท้อนให้เห็นว่าในปัจจุบันนักท่องเที่ยวอย่างน้อย 20% ได้ค้นหากิจกรรมท่องเที่ยวในเมืองนั้นๆ ก่อนที่จะจองโรงแรม 

 

เทรนด์ที่ 5 “ชอบความชัวร์ จองล่วงหน้าก่อนของหมด”

โดยปกติแล้ว เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทย พวกเขาจะมีช่วงเวลาการจองกิจกรรมท่องเที่ยวล่วงหน้าประมาณ 10-11 วัน ก่อนออกเดินทาง อย่างไรก็ตามข้อมูลภายในของ Klook ชี้ให้เห็นว่า สำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการการท่องเที่ยวที่มีจำกัด เช่นโรงแรมห้องพักและรถเช่า นักท่องเที่ยวจะมีแนวโน้มที่จะเตรียมจองล่วงหน้านานถึง 20 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาการจองล่วงหน้านานกว่ากิจกรรมท่องเที่ยวถึงเท่าตัว

 

วิลเฟร็ด เล่าเพิ่มเติมว่า จากการที่ Klook ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดำเนินกิจกรรมทางการตลาดภายใต้แคมเปญ “Let Your Journey be THAI” ในการผลักดันส่งเสริมต่างชาติให้เดินทางมาเที่ยวไทย ซึ่ง Klook ได้ดำเนินการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้ตระหนักถึงความสวยงามและวัฒนธรรมของประเทศไทย ผ่าน “5F Soft Power” ได้แก่ Food, Fight, Film, Festival, และ Fashion ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากนักท่องเที่ยว 

“ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เรามียอดการจองกิจกรรมท่องเที่ยวไทยจากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงเพิ่มขึ้น 1,200% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 65 โดย 5 ประเทศหลักที่จองกิจกรรมไทยบนแพลตฟอร์ม Klook ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และมาเลเซีย สำหรับกิจกรรมยอดนิยมในเมืองไทย ได้แก่ ทัวร์แบบ Day trip อาทิ ทัวร์ทะเลใต้ ทัวร์ชมเมืองประวัติศาสตร์อยุธยา กิจกรรมยอดนิยมลำดับถัดมาคือ กิจกรรมชมความสวยงามของเมืองไทย ได้แก่ ล่องเรือชมแม่น้ำเจ้าพระยา ชมวิวกรุงเทพมหานครที่มหานครสกายวอล์ค ส่วนกิจกรรมอีกประเภทที่ได้รับความนิยมคือ สปา โดยชาวต่างชาติให้ความนิยมในการมาผ่อนคลายและทำสปาทั้งในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต” 

สำหรับยอดการจองกิจกรรมของ “นักท่องเที่ยวชาวไทย” ทั้งการเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศและท่องเที่ยวภายในประเทศ พบว่าเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 700% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยจุดหมายปลายทางยอดนิยมของชาวไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น ยุโรป สิงคโปร์ ไทย และฮ่องกง ตามลำดับ ทั้งนี้กิจกรรมยอดนิยมของชาวไทย ได้แก่ การไปสวนสนุก การซื้อบัตรโดยสารเดินทาง และการเข้าชมแหล่งท่องเที่ยว