'เซ็นทราฯ พระนคร' ฉีกกฎคืนทุนโรงแรม ติดตลาด-ทำกำไรเร็ว-เจ้าของยิ้มง่าย!

ด้วยการเข้าปรับปรุงอาคารโรงแรมเดิมทั้งหมด ควบคู่กับการก่อสร้างอาคารแห่งใหม่ถัดจากอาคารเดิม ทำให้มีจำนวนห้องพักรวม 180 ห้องจาก 2 อาคารแบบโลว์ไรส์ (Low-rise) ใหญ่ขึ้นราว 3 เท่าจากจำนวนห้องพักเดิม! ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Thai Contemporary” ขายดีไซน์ความเป็นไทยแบบร่วมสมัย และลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป 

เมตตา บุญญฤทธิพงษ์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา บางกอก พระนคร ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานโรงแรมกับเครือเซ็นทารามากว่า 14 ปี ฉายภาพว่า ทาง “บริษัท อมรพัฒนา แอสเซท จำกัด” ผู้เป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ หลังเข้าซื้อโรงแรมแล้วมีความต้องการเปลี่ยน! ...เปลี่ยนไปใช้แบรนด์ของเชนโรงแรมแทน และนับตั้งแต่เปิดให้บริการโรงแรมเซ็นทราฯ เมื่อเดือน ต.ค. 2565 หรือกว่า 6 เดือน พบว่าผลตอบรับดี มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 60-65% สามารถ “ทำกำไร” แบบเดือนต่อเดือน ได้ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2565 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

พอผลการดำเนินงานเป็นแบบนี้... “เจ้าของก็ยิ้มง่าย!”

“สมัยก่อนเรามีความเข้าใจว่าการเปิดโรงแรมใหม่สักแห่ง จะต้องใช้เวลาคืนทุนภายใน 5 ปี แต่ปัจจุบันสามารถทำกำไรได้เร็วขึ้น ประกอบกับโรงแรมเซ็นทราฯ ตั้งอยู่บนทำเลอันยอดเยี่ยมของย่านพระนครเมืองเก่า ใกล้ถนนข้าวสาร ท่าพระอาทิตย์ ท่ามหาราช และสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังระดับประเทศมากมาย สามารถตีตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ เราจึงตั้งเป้าหมายโรงแรมนี้เดินหน้าทำกำไรทุกเดือน”

โรงแรมเซ็นทราฯ ให้บริการห้องพักจำนวน 180 ห้อง เริ่มตั้งแต่ห้องซูพีเรียร์ ห้องดีลักซ์ และห้องพรีเมียมดีลักซ์ ขนาดตั้งแต่ 21 ถึง 38 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นคืนละ 1,800 บาทขึ้นไป นอกจากนี้ยังมีห้องพรีเมียมสวีท ขนาด 44 ตารางเมตร สำหรับลูกค้ากลุ่มครอบครัวหรือผู้เข้าพักระยะยาว ราคาเริ่มต้นคืนละ 4,000 บาทขึ้นไป วางเป้าหมายสร้างอัตราการเข้าพักเฉลี่ยตลอดปี 2566 ต้องไม่ต่ำกว่า 65%

โดยทางเจ้าของโรงแรมได้ให้เป้าหมาย “รักษาระดับราคาห้องพัก” เฉลี่ยต้องไม่ต่ำกว่า 1,800 บาทขึ้นไปต่อคืน หลังผลตอบรับดีเกินคาด จากก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าจะทำราคาเฉลี่ยได้ไม่เกิน 1,200-1,500 บาทขึ้นไปต่อคืน

“เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา โรงแรมเราสามารถทำอัตราการเข้าพักวันธรรมดา 60-65% แต่ถ้าเป็นช่วงสุดสัปดาห์ทำได้สูงถึง 90% เฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ อัตราการเข้าพักทะลุ 90% สามารถอัพราคาห้องพักได้ถึง 2,400 บาทต่อคืน จากราคาปกติเฉลี่ย 1,800 บาทต่อคืน”

และนับตั้งแต่เปิดให้บริการมา พบว่าลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวยุโรป (ไม่รวมตลาดรัสเซีย) 35% รองลงมาคือเอเชีย (ไม่รวมตลาดจีน) 31% ซึ่งรวมลูกค้าคนไทยด้วย ส่วนใหญ่นิยมเข้าพักช่วงสุดสัปดาห์หลังจากท่องเที่ยวกลางคืนตรงถนนข้าวสาร ขณะที่เฉพาะตลาดจีนมี 11% เฉพาะตลาดรัสเซีย 5% ที่เหลือเป็นตลาดอื่นๆ เช่น ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย และแอฟริกา

ทั้งนี้ โรงแรมเซ็นทราฯ วางโครงสร้างลูกค้าเป็นตลาดกรุ๊ปทัวร์ 50% ซึ่งเริ่มได้กลุ่มนี้เข้ามาเป็นฐานตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ส่วนอีก 50% เป็นลูกค้ากลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) ที่นิยมจองผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ (Online Travel Agent: OTA) ซึ่งเป็นช่องทางการขายที่โรงแรมเปิดใหม่ต้องพึ่งพาสูง! เหยียบคันเร่งสร้างการรับรู้ (Awareness) โดยปัจจุบันสามารถปรับลดอัตราค่าคอมมิชชันของ OTA ได้ในหลายๆ ตลาด แสดงว่าโรงแรมเซ็นทราฯ “ติดตลาด” แล้ว ยกเว้นตลาดนักท่องเที่ยวสหรัฐที่ยังต้องรุกโปรโมตผ่าน OTA กันต่อ

“เราคาดว่าไตรมาส 2 ของปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้าพักโรงแรมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสแรก จากเดิมคาดการณ์ว่าจีนจะเปิดประเทศในไตรมาส 3 เรียกได้ว่าตลาดนี้เข้ามาช่วยอุดช่องโหว่ในช่วงโลว์ซีซันพอดี”

เมตตา เล่าเพิ่มเติมว่า ลูกค้า “คนไทย” เป็นฐานตลาดที่ต้องการรักษาเอาไว้ โรงแรมเซ็นทราฯ จึงจัดโปรโมชันแบบยาวๆ ไม่มีกำหนด ดึงนักท่องเที่ยวสายวัด-สายมู เสนอขายแพ็กเกจห้องพักสำหรับ 2 คน ราคาเริ่มต้น 2,565 บาทต่อคืนสำหรับการเข้าพักในวันธรรมดา รวมอาหารมื้อกลางวันหรือมื้อเย็น และการเดินทางไปวัดพระแก้ว-วัดโพธิ์-วัดอรุณฯ แต่ถ้าต้องการเข้าพักในวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ สามารถจ่ายเพิ่ม 500 บาทต่อคืน โดยเปิดขายแพ็กเกจนี้ผ่านเว็บไซต์ hungryhub.com

นอกจากนี้ ยังจัดโปรโมชันแพ็กเกจลองสเตย์ (Longstay) ราคา 1,500 บาทต่อคืน เข้าพักอย่างน้อย 7 คืนขึ้นไป เจาะกลุ่มเข้าพักระยะยาว เช่น ดิจิทัลนอแมด ซึ่งปัจจุบันโรงแรมเซ็นทราฯ มีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มลองสเตย์ 10% ของลูกค้าทั้งหมด พักเฉลี่ย 4-5 คืน มีทั้งนักท่องเที่ยวจากยุโรปและจีน เห็นยอดกลับมาพักซ้ำ

สะท้อนว่าติดใจ หลังโรงแรมเซ็นทราฯ “ตีตลาดสำเร็จ!” หลังเปิดให้บริการมาเพียงครึ่งปี