เปิดเส้นชัย 'ต๊อบ-อิทธิพัทธ์' ปีที่ 21 นำ 'เถ้าแก่น้อย'ครองใจคนทั่วโลก
![เปิดเส้นชัย 'ต๊อบ-อิทธิพัทธ์' ปีที่ 21 นำ 'เถ้าแก่น้อย'ครองใจคนทั่วโลก](https://image.bangkokbiznews.com/uploads/images/md/2023/04/DpPcgueaQbCm1ccE0CM1.webp?x-image-process=style/LG)
ตลาดสาหร่ายไทยมูลค่า 3,000 ล้านบาทคึกคัก เถ้าแก่น้อย วางกลยุทธ์ ทั้ง Go Board Go Global การใช้ Idol Marketing เปิดช้อปเถ้าแก่น้อยแลนด์ มุ่งทำตลาดเทรดดิชั่นนอลเทรด มั่นใจรักษาผู้นำตลาดสาหร่าย 'ต๊อบ อิทธิพัทธ์' เร่งสร้างแบรนด์สู่โกลบอล
แบรนด์เถ้าแก่น้อยที่อยู่ในตลาดไทยมาเป็นระยะเวลาร่วม 20 ปี จากผู้ก่อตั้งนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง “ต๊อบ อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์” สร้างแบรนด์ เถ้าแก่น้อย ในช่วงอายุ 19 ปี ที่มีแรงบันดาลใจ สร้างธุรกิจนี้ขึ้นมา เนื่องจากครอบครัวประสบปัญหาหนี้สินรวม 40 ล้านบาทจึงอยากช่วยเหลือครอบครัว ซึ่งจากความมุ่งมั่นและพยายาม เรียนรู้และพัฒนาสูตรสาหร่าย ทำให้ธุรกิจเล็กๆ นี้มีการเติบโตสู่ธุรกิจเถ้าแก่น้อยหมื่นล้านบาท พร้อมก้าวสู่การเป็นแบรนด์ผู้นำตลาดสาหร่ายในไทย ด้วยส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 65% และเป็นผู้นำตลาดสาหร่ายไทยในทุกเชคเม้นท์ สำหรับตลาดสาหร่ายในไทยมีมูลค่ามากกว่า 3,000 ล้านบาท
“อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มภาพรวมตลาดสาหร่ายในปี 2566 มีแนวโน้มที่ขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากนักท่องเที่ยวที่กลับมาเข้ามาในประเทศมากขึ้น และกำลังซื้อในประเทศไทยที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวแล้ว ทำให้บริษัทได้เตรียมแผนองค์กรครั้งใหญ่ เพื่อวางแผนสร้างองค์กรเติบโตระยะยาว
พร้อมมีการปรับแผนใหม่ที่กลับมาเปิด “เถ้าแก่น้อยแลนด์” อาณาจักรสาหร่ายเถ้าแก่น้อย แบบ One Stop Shopping จำนวน 5 สาขาในปีนี้ โดยปรับการเปิดสาขาให้มีขนาดเล็กลงพื้นที่ 50 ตร.ม. จากเดิมพื้นที่ขนาดใหญ่ 200-300 ตร.ม. ซึ่งได้เปิดสาขาที่ เอเชียทีค เป็นสาขาแรก พบว่าผลตอบรับดีมาก เนื่องจากกลุ่มลูกค้า จากประเทศอาเซียนให้ความสนใจสินค้าสูงมาก ทั้งจากมาเลเซีย เกาหลี ใต้หวัน และอินโดนีเซีย ที่กลายเป็นกลุ่มลูกค้าหลักสัดส่วนประมาณ 80% จากเดินร้านจะมีลูกค้าหลักเป็น นักท่องเที่ยวจีน 90% แต่ในปัจจุบันยังกลับมาไม่เต็มที่
“ในช่วงโควิด ได้ปิดร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์ ที่มีอยู่ 10 สาขา โดยยอดขายของร้านในช่วงที่ผ่านมา จะอยู่ที่ 300 ล้านบาท เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายระดับสูง แต่การปรับมาเปิดร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์ใหม่ในปีนี้ จะเน้นขนาดพื้นที่เล็กลง และเน้นสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ของเถ้าแก่น้อย ที่สร้างยอดขายและผลกำไรดี”
พร้อมกันนี้ จะรุกการเปิดช้อปใหม่ที่เปิดเป็น คอร์นเนอร์ ขนาดเล็ก ตามพื้นที่ต่างๆ มากขึ้น ภายใต้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง เพื่อทำให้ทำให้บริษัทสามารถดูแลค่าใช้จ่ายและบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น
นอกจากนี้บริษัทได้มุ่งบริหารจัดการระบบการผลิตใหม่ โดยปรับลดจำนวนพนักงานที่มีอยู่ 3,000 คน ให้เหลือ 2,000 คน เพื่อให้การผลิตเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและการบริหารจัดการต้นทุน
ส่วนการขยาย Go Global จะขยายตลาดในต่างประเทศ และการสร้างแบรนด์สู่ โกลบอลแบรนด์มากขึ้น จากในปัจจุบันมีการจัดจำหน่ายในช่องทางชั้นนำทั่วโลก อาทิ Hema, Ole, Walmart, 7-11, Costco, Wholefood
อีกการเปลี่ยนแปลงสำคัญในตลาดต่างประเทศ ที่เถ้าแก่น้อย มีจำหน่ายอยู่ใน 50 ประเทศ โดยมีประเทศดาวรุ่งที่สร้างยอดขายได้สูงประมาณ 10 ประเทศ อาทิ จีน สหรัฐ เวียดนาม ยุโรปและ แคนาดา อินโดนีเซีย เป็นต้น ซึ่งในตลาดจีนบริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวแทนจำหน่ายสินค้าในปีก่อน และบริษัทสามารถเข้าไปซื้อข้อมูลตลาดได้เองแล้ว ซึ่งพบว่า ผลการนำนักแสดงยอดนิยมของไทยอย่าง ซี-นุนิว ไปไลฟ์ขายสินค้าในแต่ละครั้งสร้างยอดขายได้ถึง 8-9 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมยอดขายในจีนช่วงโควิด จะลดลงที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท จากที่ผ่านมาจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท แต่ในปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้นต่อเนื่องแล้ว
จากการปรับกลยุทธ์ของเถ้าแก่น้อยทั้งหมด ที่มีเป้าหมายสู่การเป็น แบรนด์ "เถ้าแก่น้อย" ที่คนทั่วโลก ต่างรู้จักในอีก 5-10 ปีข้างหน้า พร้อมกับวางเป้าหมายจะสร้างยอดขายเติบโต ทั้งรายได้และกำไร เป็นตัวเลขสองหลักต่อเนื่องในอีก 10 ปีนับจากนี้ โดยภาพรวมยอดขายของบริษัทในปัจจุบัน จะมาจากตลาดในประเทศ 40% และตลาดต่างประเทศ 60%