อินเด็กซ์ฯ ผนึกสภาหอการค้า นำทัพนักลงทุน-สินค้าไทย เจาะโอกาสซาอุฯ

อินเด็กซ์ฯ ผนึกสภาหอการค้า นำทัพนักลงทุน-สินค้าไทย เจาะโอกาสซาอุฯ

หลังจาก "ไทย-ซาอุดิอาระเบีย" ฟื้นความสัมพันธ์กันในรอบ 32 ปี ไม่เพียงสานความร่วมมือ สร้างความแน่นแฟ้นด้านต่างๆ แต่สิ่งที่ตามมาคือ การค้าการลงทุนเปิดประตูแห่งโอกาสมากขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการไทย ไปค้าขายกับพี่ใหญ่ในตะวันออกกลาง

ล่าสุด อินเด็กซ์ ครีเอทีฟฯ ผนึกกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประกาศจัดงานใหญ่ “Thailand Mega Fair & Festival 2023-The Kingdom of Saudi Arabia” ระหว่างวันที่ 13-16 ธันวามคม 2566 ณ The Arena Riyadh กรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย งานแสดงสินค้าและบริการของไทยใหญ่ที่สุดในซาอุฯ เพื่อพิ่มโอกาสใหม่ทางธุรกิจ ยายโอกาสทางการค้าการลงทุน, หาคู่ค้าและพันธมิตรทางการค้า, ขยายดิสทริบิวเตอร์ รวมถึงโชว์ศักยภาพประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

เกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ซาอุฯ ถือเป็นประตูบานใหญ่ที่เปิดทางธุรกิจให้กับนักลงทุนไทย ด้วยเศรษฐกิจมีขนาดใหญ่ ประชากร 36 ล้านคนมีอำนาจซื้อสูง อีกทั้งประเทศกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะนโยบายปี 2030 ที่จะมีโครงการอภิมหาโปรเจคมากมาย ในหลายเมือง เช่น โครงการ NEOM The LINE การสร้างสวนสุดใหญ่โตมโหฬารปลูกต้นไม้นับ “สิบล้านต้น” การสร้างสนามบินใหม่ ฯ รวมถึงลุ้นเป็นเจ้าภาพเวิลด์ เอ็กซ์โป ที่จะสร้างประวัติศาสตร์ความยิ่งใหญ่ให้โลกเห็น สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงโอกาสมหาศาล

ทั้งนี้ จากการที่อินเด็กซ์ฯ ลงพื้นที่ สำรวจตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดงาน “Thailand Mega Fair & Festival 2023-The Kingdom of Saudi Arabia” ซึ่งจะไม่แค่แสดงสินค้าและบริการจากประเทศไทย แต่จะนำเสนอแบรนด์ประเทศไทยให้นักลงทุน ตลอดจนประชากรชาวซาอุดิอาระเบีย รู้จักประเทศไทยมากขึ้นด้วย

หลังจากบริษัทเตรียมเปิดงานดังกล่าว นักลงทุนไทยให้ความสนใจเกินคาด เพราะจับจองบู๊ทร่วมงานจำนวนมาก จากเซ็กเตอร์การท่องเที่ยว พลังงาน ธุรกิจสุขภาพ หุ่นยนต์ ฯ สอดคล้องกับธุรกิจที่มีโอกาสในซาอุฯ ได้แก่ ก่อสร้างและตกแต่งภายในระดับลักชัวรี อาหารไทย การเกษตร การท่องเที่ยว สุขภาพ ฯ

อินเด็กซ์ฯ ผนึกสภาหอการค้า นำทัพนักลงทุน-สินค้าไทย เจาะโอกาสซาอุฯ “เราไม่ได้นำเสนอแค่งานแฟร์ขายสินค้าอย่างเดียว แต่ต้องการทำแบรนด์ดิ้งให้ประเทศไทยแนะนำให้ชาวซาอุฯ รู้จักไทยดีขึ้น เพราะที่ผ่านมาประชากรซาอุฯคิดว่าไทยมีดีแค่การท่องเที่ยว อาหาร แต่ประเทศเรามีศักยภาพด้านอื่นอีกมาก”

สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หลังไทย-ซาอุฯ ฟื้นความสัมพันธ์ รัฐบาลและนักลงทุนไทยได้ไปเยือนและมีการลงนามความร่วมมือทางการค้า การลงทุน กับประเทศซาอุฯ และคาดว่าจะส่งผลให้มีการเจริญเติบโต โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ปี 2566 จะก้าวกระโดด มีนักท่องเที่ยวซาอุฯเยือนไทยก้าวกระโดด 1.5-2 แสนคน และเป็นนักเดินทางคุณภาพ มีการใช้จ่ายสูงต่อคนต่อทริปราว 8 หมื่นบาท เทียบนักท่องเที่ยวทั่วไปเฉลี่ย 5 หมื่นบาท

ปัจจุบันทุนไทยเข้าไปหาโอกาสทางการค้าในซาอุฯอย่างต่อเนื่อง เช่น คาเฟ่ อเมซอน ของโออาร์ เปิดสาขาแรกพร้อมตั้งเป้ามี 150 สาขาใน 5-10 ปี เอสซีจี ปักหมุดธุรกิจก่อสร้าง รับโครงการเมกะโปรเจค รวมถึงสยามพิวรรธน์ ต้องการขยายการบริหารห้างค้าปลีกในซาอุฯ เป็นต้น

ด้านดามพ์ บุญธรรม เอกอัครราชทูตไทย ประจำราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย กล่าวว่า การพัฒนาประเทศของซาอุฯ ไม่ได้อยู่แค่กรุงริยาด แต่เกิดหลายพื้นที่ เช่น เมืองดัมมาม ภาคตะวันออกของประเทศ แต่ภาพรวมการพัฒนาอภิมหาโครงการมีนับสิบ โดยความต้องการของตลาด มีทั้งภาคก่อสร้าง แรงงาน เทคโนโลยีการเกษตร ฯ แต่มองว่าการเข้าไปไทยควรเริ่มที่ธุรกิจบริการ

ทั้งนี้ เมื่อเข้าไปลงทุนสิ่งที่ต้องศึกษาและระมัดระวังคือข้อกฎหมาย เนื่องจากซาอุฯ ยังมีความอนุรักษ์นิยม

กรณีศึกษา จะเข้าไปลงทุนต้องศึกษาตลาดและกฎหมายให้ถ่องแท้ เพราะบางกิจการยังไม่เปิดโอกาสให้ต่างชาติไปลงทุน ตัวอย่างการเข้าไปทำเทรดดิ้ง จะต้องมีการตั้งบริษัทด้วยทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท ภายใน 5 ปี ต้องมีเงินทุนเพื่อใช้จ่ายราว 2,000 ล้านบาท หรือจะร่วมทุนกับท้องถิ่นต้องถือหุ้น 25% เพื่อสะท้อนความมั่นคงของบริษัทต้องมีประสบการณ์ลงทุนอย่างน้อย 3 ประเทศ และภาษีนิติบุคคลต่างชาติต้องเสีย 20% สูงกว่าบริษัทท้องถิ่นจ่ายเพียง 5% เป็นต้น

สำหรับงาน “Thailand Mega Fair & Festival 2023-The Kingdom of Saudi Arabia” มีจำนวน 200 บูธ คาดมีผู้เข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 12,000 คน เม็ดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท