‘จีดีเอช’ ปรับสูตรโกยรายได้หนังไทย Win ในประเทศ-ต่างแดน เข้าถึงคนดูทั่วโลก

‘จีดีเอช’ ปรับสูตรโกยรายได้หนังไทย  Win ในประเทศ-ต่างแดน เข้าถึงคนดูทั่วโลก

การวัดความสำเร็จหนังไทยของ "จีดีเอช ห้าห้าเก้า" คือทำเงิน "ร้อยล้าน" แต่ปัจจุบันหมดยุคแล้ว เพราะโกยรายได้ 50 ล้านบาท ถือว่าพอใจ จากนี้ไปการสร้างหนังไทยไม่เพียง Win ในประเทศ ต้องโกอินเตอร์ ฉายพร้อมไทย เข้าถึงคนดูให้กว้างสุด เพื่อสร้างความมั่นคน มั่งคั่งให้ธุรกิจ

อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศไทยมีมูลค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3,000-4,000 ล้านบาทต่อปี แต่ส่วนใหญ่ หนังฮอลลีวู้ด ฟอร์มใหญ่ยักษ์มักโกยเงินสัดส่วนใหญ่สุด เช่น ปี 2562 ที่มูลค่ารวมประมาณ 4,600 ล้านบาท หนังต่างประเทศมูลค่า 3,900 ล้านบาท ส่วนหนังไทยมูลค่าราว 700 ล้านบาท จากจำนวนหนังประมาณ 45 เรื่องที่เข้าฉาย เป็นต้น

ช่วงโควิดตลาดหนังเผชิญความยากลำบากมาก เพราะโรงหนังปิดกินเวลานับร้อยวัน ทำให้ตลาดหดตัวแรงเหลือมูลค่า 1,000 ล้านบาท เป็นหนังต่างประเทศ 700 ล้านบาท หนังไทย 300 ล้านบาท ปี 2564 มูลค่า 1,100 ล้านบาท หนังต่างประเทศ 900 ล้านบาท หนังไทย 200 ล้านบาท

ขณะที่ปี 2565 การฟื้นตัวทำให้มูลค่าตลาดกว่า 2,100 ล้านบาท หนังต่างประเทศ 1,700 ล้านบาท และหนังไทยราว 414 ล้านบาท มีหนังเข้าฉาย 40 เรื่อง โมเมนตัมปี 2566 อุตสาหกรรมหนังคึกคักขึ้น ทั้งโลก ค่ายหนังผลิตคอนเทนท์ป้อนโรงหนัง ผู้บริโภคเข้าไปชมหนังเป็นการกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น เหล่านี้เป็นมุมมองที่ จินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด บอกเล่าถึงสถานการณ์ธุรกิจ

เมื่อการฟื้นตัวเชิงบวก ทำให้แผนธุรกิจของ “จีดีเอช ห้าห้าเก้า” ส่งหนังไทย 4 เรื่อง ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย 1.เธอกับฉันกับฉัน ซึ่งเข้าฉายแล้ว และกำลังเดินสายฉายในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น 2.บ้านเช่า..บูชายัญ ซึ่งได้ร่วมทุนกับ “เอ็นเอจ สตูดิโอ” พร้อมมองแผนโกอินเตอร์ ในการจัดจำหน่ายไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และอเมริกาใต้ เนื่องจากพันธมิตรมีความรักในธุรกิจดังกล่าว รวมถึงมุ่งมั่นจะเปิดตลาดให้ได้

‘จีดีเอช’ ปรับสูตรโกยรายได้หนังไทย  Win ในประเทศ-ต่างแดน เข้าถึงคนดูทั่วโลก ผู้กำกับ นักแสดงพร้อมเผยโฉมไลน์อัพหนัง "จีดีเอช" ปี66

“บ้านเช่า..บูชายัญ จะเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกของจีดีเอช ห้าห้าเก้า ที่เข้าไปฉายในโรงหนังสหรัฐฯ จากปกติหนังที่ทำตลาดจะผ่านช่องทางเคเบิลทีวี หรือได้รับเกียรติให้ฉายในเทศกาลต่างๆเท่านั้น หากเจาะตลาดสหรัฐฯได้ คาดว่าทำให้รายได้เติบโตก้าวกระโดด”

3.DELETE ซีรีส์ต้นตำรับหรือออริจินัล ซีรีส์ที่บริษัทผลิตป้อนแพลตฟอร์มออนไลน์สตรีมมิ่งอย่าง “เน็ตฟลิกซ์” ซึ่งที่ผ่านมา มีความต้องการผลงานคอนเทนท์สร้างสรรค์จากบริษัทค่อนข้างมาก แต่ข้อจำกัดของ “จีดีเอช” คือ คุยแผนงานวันนี้ กว่าจะผลิตงานแล้วเสร็จคืออีก 3 ปี เพราะใช้เวลาเขียนบทเกือบ 2 ปี แล้วดำเนินการผลิตหรือขั้นตอนโปรดักชั่น ขณะที่คอนเทนท์โปรวายเดอร์อื่น อาจใช้เวลาเขียนบทกว่า 1 ปี เป็นต้น

“ยากสุด คือการสร้างสรรค์ออริจินัลคอนเทนท์ แต่การได้ร่วมงานกับเน็ตฟลิกซ์มี 1 โปรเจคออกมา ถือว่าพอใจแล้ว เพราะสิ่งที่ได้คือการทำงานภายใต้มาตรฐานระดับสากล”

4.หนังวัยรุ่น “เพื่อน(ไม่)สนิท” ซึ่งร่วมทุนกับ Houseton Film นอกจากนี้ ตุลาคม 2566 จะครบรอบ 20 ปี ภาพยนตร์แฟนฉัน จึงเตรียมนำฟิล์มมาปรับคุณภาพใหม่(รีมาสเตอร์)ให้สอดรับเทคโนโลยีความคมชัด เช่น 4K เป็นต้น

นอกจากหนังบริษัทจะปัดฝุ่นการจัดอีเวนท์ GDH FUN FEST อีกครั้ง รวมถึงการสร้างสรรค์ Project D ที่ได้ “พีพี กฤษฏ์” และ “อิงฟ้า วราหะ” มาร่วมงาน ซึ่งแผนดังกล่าว บริษัทคาดใช้เงินลงทุนกว่า 200 ล้านบาท และผลักดันรายได้ปี 2566 ให้แตะ 510 ล้านบาท จากปี 2564 มีรายได้ 504.9 ล้านบาท เติบโต 95% โดยหนังไทย “บุพเพสันนิวาส ๒” สร้างความสำเร็จค่อนข้างดี ด้าน “กำไร” อยู่ที่ 58.5 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงพีคปี 2562 กำไรสูง 80-90 ล้านบาท

‘จีดีเอช’ ปรับสูตรโกยรายได้หนังไทย  Win ในประเทศ-ต่างแดน เข้าถึงคนดูทั่วโลก

พี่มาก..พระโขนง หนังไทยพันล้าน จากค่ายจีดีเอช

เมื่อตลาดหนังฟื้นตัว การเดินเกมรุกตลาดทั้งในและต่างประเทศ ป้อนคอนเทนท์สู่แพลตฟอร์มต่างๆ ทำให้คาดหวังรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า

“ภาพยนตร์เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์คนดู โจทย์ยากในการสร้างหนัง ต้องพาคนดูเข้าไปในโรงให้ได้ เพราะหนังต้องฉายในโรงเป็นหลัก แต่คนรุ่นใหม่บางคนไม่เคยดูตัวอย่างหนังในโรงเลย ปัจจุบันแค่จ่ายเงิน 200 บาท อยู่บ้านก็มีคอนเทนท์ให้ดู จีดีเอช จะมุ่งทำให้หนังไทยขยายไปสู่คนดูให้กว้างขึ้นทั้งไทยและต่างประเทศ สามารถดูหนังเราได้ในเวลาใกล้กัน จากเดิมต้อง Win ในประเทศค่อยไปต่างประเทศ ขณะที่การวัดผลสำเร็จอดีตเคยมองตัวเงินทะลุร้อยล้าน ปัจจุบันแค่ 50 ล้านบาท ก็สุดยอดแล้ว”