"สปริงแอร์ไลน์" เร่งฟื้นเส้นทางไทย-จีน "พิพัฒน์" ดึงเอเชียสู้พิษแบงก์ล้ม
“สปริงแอร์ไลน์” (Spring Airlines) หนึ่งในสายการบินเอกชนรายใหญ่ของประเทศจีน พร้อมเป็นผู้นำในการกลับมาให้บริการเที่ยวบิน ทวงดีมานด์การเดินทางครั้งใหญ่ของ “นักท่องเที่ยวจีน” ในยุคหลังโควิด!
ด้วยภารกิจรุกขยายเที่ยวบินช่วงตารางบินฤดูร้อน 2566 ของเส้นทางบินระหว่าง “ไทย-จีน” ฟื้นตัวมากกว่า 50%
หลังจากเมื่อปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด สปริงแอร์ไลน์ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศกว่า 16,000 เที่ยวบิน มากเป็นอันดับ 4 ของสายการบินสัญชาติจีนที่มีกว่า 40 ราย โดยให้บริการเที่ยวบินสู่ภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 800 เที่ยวบิน และยังติด “Top 2” ของสายการบินที่ให้บริการเที่ยวบินตรงจากจีนสู่ “ประเทศไทย” สูงสุด!
จาง อู่อัน รองประธาน บริษัท สปริงแอร์ไลน์ จำกัด เล่าว่า นับตั้งแต่เดือน ม.ค.2566 รัฐบาลจีนได้ลดระดับการป้องกันโรคโควิด-19 และประเทศไทยเป็น 1 ใน 20 ประเทศแรกที่ได้รับอนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางออกท่องเที่ยวนอกประเทศแบบหมู่คณะ (กรุ๊ปทัวร์) ได้ ทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมอย่างมากและรวดเร็วในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน โดยปัจจุบันให้บริการเที่ยวบินรวม 9 เส้นทางบินตรงสู่ประเทศจีน รวม 62 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ มีอัตราการขนส่งผู้โดยสาร (Load Factor) เฉลี่ยมากถึง 95%
สำหรับช่วง “ตารางบินฤดูร้อน 2566” ซึ่งจะเริ่มวันที่ 26 มี.ค.นี้ สปริงแอร์ไลน์เตรียมเปิดเส้นทางใหม่ “กรุงเทพฯ-เฉิงตู” และเพิ่มความถี่เที่ยวบินของเส้นทาง “กรุงเทพฯ-เจียหยาง” และ “กรุงเทพฯ-หนิงโป” อีกด้วยทำให้มีจำนวนเที่ยวบินรวม เพิ่มเป็น 82 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ บินตรงจากประเทศไทย 3 เมือง ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต สู่ 12 เมืองสำคัญของประเทศจีน ฟื้นตัวมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับจำนวนเที่ยวบินรวม 148 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ สู่ 19 เมืองของประเทศจีนเมื่อปี 2562
“เราประเมินว่าภายในปีนี้จะสามารถกลับมาให้บริการเส้นทางบินระหว่าง ไทย-จีน ได้เหมือนปี 2562 และคาดการณ์ว่าแนวโน้มราคาตั๋วเครื่องบินทั้งเส้นทางภายในประเทศจีนและระหว่างประเทศ จะปรับตัวลดลงกลับไปเท่าเดิมเมื่อซัพพลายเที่ยวบินฟื้นตัวสู่ภาวะปกติ จากปัจจุบันราคาตั๋วเครื่องบินยังสูงกว่าเมื่อปี 2562 มากกว่า 20%”
สำหรับวิกฤติ “แบงก์ล้ม” ในสหรัฐและลามมาถึงแบงก์ในยุโรปนั้น ในมุมสายการบินของจีน มองว่าไม่มีผลกระทบใดๆ โดยทางรัฐบาลจีนมีนโยบายสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ พร้อมสนับสนุนสายการบินของประเทศจีนให้ฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 และมุ่งผลักดัน “จีดีพี” ปีนี้ขยายตัว 5% ตามเป้าหมาย
ด้าน พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงกรณีแบงก์ล้มในสหรัฐด้วยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯได้จับตาสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด มองว่าส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจากสหรัฐและยุโรปมาไทยในปีนี้แน่! แต่ก็ต้องดูว่าผลกระทบดังกล่าวจะบานปลายไปขนาดไหน อย่างไรก็ตาม ได้จัดเตรียม “ตลาดสำรอง” ไว้ล่วงหน้าแล้ว ทั้งนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชีย อาเซียน และตะวันออกกลาง เพื่อรับมือกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่อาจยืดเยื้อด้วย
“มั่นใจว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยไม่น้อยกว่า 25 ล้านคนแน่นอน พอจีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด เลยมีโอกาสลุ้นเห็นตัวเลขขยับเป็น 30 ล้านคน แต่พอเกิดปัญหาแบงก์ล้มในสหรัฐและลามไปถึงยุโรป ซึ่งเป็นตลาดระยะไกล มีการตั้งเป้านักท่องเที่ยวจากสหรัฐและยุโรปมาไทยปีนี้รวม 7-8 ล้านคน สมมติว่าตลาดนี้หายไปครึ่งหนึ่งเหลือประมาณ 4 ล้านคน ก็ต้องดึงตลาดสำรองมาช่วยทดแทน ผลักดันภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยไปให้ถึงเป้าหมายเดิมของปีนี้ที่ 25 ล้านคน”