จีเอ็มเอ็ม มิวสิค เจาะขุมทรัพย์ท่องเที่ยว ผุด 'เทศกาลดนตรี' ใหม่ๆทำเงิน
จีเอ็มเอ็ม มิวสิค ต่อยอด เทศกาลดนตรีสู่เกมใหญ่ดึงนักท่องเที่ยว ด้วยการปั้นแบรนด์ใหม่ทั้ง Screan รับวันฮาโลวีน Spectra เอาใจสาย LGBTQ ขึ้นฮับมิวสิค เฟสติวัลของเอเชีย และสงกรานต์กับ WaterWar ประเดิมเชียงใหม่ จับนักเดินทางแดนมังกร
ห้วงเวลาที่เผชิญวิกฤติโควิด-19 ระบาด “ธุรกิจบันเทิง” ได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะ “ค่ายยักษ์ใหญ่” อย่าง “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” ซึ่งบางหมวดรายได้หดหายเกลี้ยง “เป็นศูนย์” เช่น คอนเสิร์ต โชว์บิส งานแสดงสดของศิลปินที่มีราว 7,000 งานต่อปี
เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย “สายธุรกิจเพลง” ของบริษัทกลับเข้าสู่หมวดเติบโตอีกครั้งบนเส้นทางของตัวเองหรือ Back on Track
ภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) สรุปภาพการนำทัพธุรกิจเพลงฝ่าวิกฤติโรคระบาด และกลับมาทำผลงานปี 2565 สร้างรายได้รวม 3,043 ล้านบาท เติบโต 67% และมีกำไรสุทธิ 355 ล้านบาท เทียบปี 2564 เพลงทำรายได้ 1,816 ล้านบาท และไม่มีกำไร หรือกำไรเป็นศูนย์!
ปี 2566 บริษัทยังใส่เกียร์รุกธุรกิจเพลง ผลักดันรายได้แตะ 3,800 ล้านบาท เติบโต 25% โดยมี 5 กลยุทธ์ เป็นแรงส่ง ได้แก่ 1.Entertainment Data Intelligence ลงทุนด้านแพลตฟอร์มให้เป็นมากกว่าเก็บข้อมูลหรือ Big Data แต่ต้องเอื้อให้ธุรกิจเพลงทุกฝ่าย นำไปต่อยอดการเติบโตได้ เช่น ศิลปินมีฐานแฟนมากน้อยแค่ไหน ซื้อสินค้าหรือไม่ ซื้ออย่างไร มีข้อมูลของแบรนด์สินค้า เพจแบรนด์ เพจสื่อ ฯ เมื่อจัดกิจกรรมตลาด เทศกาลดนตรี จะคาดการณ์ “ยอดขายแม่นยำ”
2.ย้ำภาพเบอร์ 1 ตลาดเพลงเมืองไทย ด้วยการปั้นศิลปินเสริมแกร่ง จะเห็นราว 100-200 คน จากมีผู้สมัครนับหมื่น การขยายกำลังผลิตเพลงเป็น 500 เพลง 32 อัลบั้ม 160 ซิงเกิล และ 5,000 เพลย์ลิสต์ ป้อนโลกออนไลน์ จากเดิมมีกว่า 3,000 เพลย์ลิส 3.เฟ้นหาศิลปิน โดยเฉพาะเจนเนอเรชั่นใหม่ 4.ดิจิทัลยังเป็นพระเอกสร้างรายได้ ซึ่งบริษัทจะเพิ่มโอกาสทำเงินให้มากสุด บนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ
และ 5.รักษาบัลลังก์เบอร์ 1 โชว์บิส ในเมืองไทย ถือเป็น “หมัดเด็ด” เพราะ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จัดเต็มปั้นแบรนด์ “มิวสิค เฟสติวัล” เพื่อชิงขุมทรัพย์ 5,000 ล้านบาท วางหมากรุกใหญ่ ต่อยอดสู่ “ทัวริส โชว์บิส”
ทั้งนี้ บริษัทยึด 7 จุดยุทธศาสตร์ จัดงานมิวสิค เฟสติวัล เช่น ภาคเหนือ มี “เชียงใหญ่เฟส” ปีที่ 4 จะดึงคนเข้าร่วมงานแตะ 50,000 ราย จากล่าสุดทะลุ 40,000 ราย พุ่งใต้เฟส เจาะภาคใต้ เฉียงเหนีอเฟส เทศกาลดนตรีอินดี้ ยกระดับเป็น Glastonbury เมืองไทย และบิ๊กเมาเท่น เจาะคนกรุงเทพฯและคนท้องถิ่น ซึ่งตลอดปี 2566 คาดหวังคนเข้าร่วมงานทุกเทศกาลแตะ 5 แสนคน เป็นต้น
นอกจากนี้ จะปั้นแบรนด์เทศกาลดนตรีใหม่ อย่าง “WaterWar” ขยายรับ “วันสงกรานต์” ประเดิมพื้นที่เชียงใหม่เป็นแห่งแรก หากประสบความสำเร็จจะเจาะทุกจังหวัดทุกภาค ผุดแบรนด์ “Screan” เทศกาลดนตรีช่วงวันฮาโลวีน รับคนมีกำลังซื้อ แต่ไม่มีที่ปล่อยผี โดยตลาดดังกล่าวเงินสะพัดราว 500 ล้านบาทต่อปี ได้เวลาเปิดเทศกาลดนตรีเอาใจกลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลายทางเพศหรือ LGBTQ กับแบรนด์ “Spectra” พร้อมยกระดับให้เป็นงานใหญ่ศูนย์กลางหรือ “ฮับเอเชีย”
รวมถึงการขยายสู่งานอินเตอร์เนชั่นแนล โดยเฉพาะ “เกาหลี” เพราะมาแรง ประเดิมงานแรก 2023 Park Jin Young Fanconcert ‘Rendezvous’ in Bangkok ซึ่งทำให้บริษัทได้เรียนรู้ องค์ความรู้ในการจัดงาน เข้าใจกลุ่มเป้าหมายและสร้างทีมงานไปพร้อมๆกัน
“เราจะปฏิบัติการยึดหัวหาด ยึดประเทศด้วยเทศกาลดนตรี มีการปั้นแบรนด์ใหม่ไม่แค่บิ๊กเมาเท่น เพื่อขยายไปยังพื้นที่ ภาคต่างๆด้วยสเกลใหญ่ขึ้น เติบโตไปพร้อมจังหวัด และปูทางสู่การท่องเที่ยว แผนดังกล่าวยังทำให้บริษัทเติบโตไม่รู้จบ”
อย่างไรก็ตาม ภายใต้แผนงานดังกล่าว บริษัทยังวางงบไม่ต่ำกว่า 1,500 เพื่อลงทุน ผลักดันการเติบโต และใน 5 ปี วางเป้าหมายให้ 3 เสาหลักทั้งดิจิทัล โชว์บิส การบริหารศิลปิน ให้ทำเงินหลัก “พันล้านบาท” ขึ้นไป
