'โจโกวี'ตั้งเป้าพัฒนา“นูซันตารา”เป็นฮับฟินเทคเอเชียในปี 2588

'โจโกวี'ตั้งเป้าพัฒนา“นูซันตารา”เป็นฮับฟินเทคเอเชียในปี 2588

หลังจากประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ของอินโดนีเซียประกาศย้ายเมืองหลวงจากกรุงจาการ์ตาไปยังกรุง“นูซันตารา” ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว ที่อยู่ห่างไกลออกไปประมาณ 2,000 กิโลเมตร หลายประเทศในภูมิภาคในอาเซียนก็จับตามองความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด

ล่าสุด ผู้นำอินโดฯพยายามผลักดันให้เมืองหลวงใหม่แห่งนี้ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางฟินเทคแห่งภูมิภาคอาเซียนให้ได้ภายในปี 2588 ผ่านการส่งเสริมการลงทุนรูปแบบต่างๆ เพื่อดึงดูดบรรดาบริษัทเทคโนโลยีการเงิน บริษัทสตาร์ตอัพการเงินทั้งหลายให้เข้ามาลงทุนให้มากที่สุด

เมื่อวันที่ 23ก.พ.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย พร้อมด้วยรัฐมนตรีทั้งคณะที่เดินทางไปเยี่ยมผืนป่าด้านตะวันออกของกาลิมันตัน ซึ่งอยู่บนเกาะบอร์เนียวและเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงใหม่ ค้างคืนอยู่ในกระท่อมหลังหนึ่งที่สร้างขึ้นในเขตก่อสร้างทวีตข้อความว่า“ตอนนี้กำลังมีการเตรียมการเพื่อจัดงานฉลองประกาศเอกราชแห่งชาติของอินโดนีเซียในเดือนส.ค. ปี 2567 ที่ทำเนียบประธานาธิบดีแห่งใหม่” 

หลังจากได้รับเลือกตั้งอีกสมัยในปี 2562 วิโดโด ก็ประกาศแผนย้ายเมืองหลวง และโครงการนี้ก็ผ่านการรับรองจากรัฐสภาในเดือนม.ค.ปี 2565 และประธานาธิบดีได้ตั้งชื่อเมืองหลวงใหม่ว่านูซันตาราหรือ “หมู่เกาะ”ในภาษาอินโดนีเซียโดยหน่วยงานของรัฐบาลบางแห่งกำหนดกว้างๆว่าจะย้ายเมืองหลวงเร็วที่สุดในปี 2567 และประธานาธิบดีประกาศความตั้งใจที่จะฉลองวันชาติในวันที่7 ส.ค.ที่ทำเนียบพระราชวังใหม่ในปีเดียวกันนั้น
 

รัฐบาลอินโดมีเซีย มีแผนที่จะสร้าง “กรุงนูซันตารา” ให้เป็นเมืองหลวงแบบ “สมาร์ท ซิตี” ซึ่งมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเมื่อครั้งให้สัมภาษณ์นิกเคอิ เอเชียเมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีประธานาธิบดีอินโดฯระบุ ว่า“เราจะสร้างศูนย์กลางการเงินในนูซันตาราแต่จะไม่เหมือนในสิงคโปร์ หรือในฮ่องกง โดยจะเป็นศูนย์กลางฟินเทคและเราจะเสนอแรงจูงใจด้านการลงทุนที่ช่วยให้เราแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้อย่างมาก”

รัฐบาลอินโดนีเซียเตรียมออกมาตรการต่างๆเพื่อดึงดูดบริษัทฟินเทคให้เข้ามาลงทุนในเมืองหลวงใหม่ เช่น ยกเว้นภาษีนิติบุคคลให้แก่ธนาคารและบริษัทประกันรวมทั้งยกเว้นภาษีให้แก่บริษัทให้บริการทางการเงินของกลุ่มอิสลาม ภายใต้กฏชาริอะห์ 

นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียยังพิจารณาที่จะยกเว้นภาษีแก่แรงงานชาวอินโดนีเซียในภาคการเงินด้วยการไม่เก็บภาษีรายได้ส่วนบุคคลไปจนถึงปี 2575 และหลังจากนั้นเสนอลดภาษีแก่พวกเขาในสัดส่วน 50% ซึ่งมาตรการยกเว้นภาษีนี้จะครอบคลุมแรงงานต่างชาติด้วย

 ที่ผ่านมา กูเกิ้ลและหน่วยงานอื่นๆคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของอินโดนีเซียจะเติบโตจาก 77,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2565 เป็น 130,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2568 

ตอนนี้ มีกลุ่มบริษัทและสตาร์ตอัพจำนวนมาก เข้าไปตั้งธนาคารดิจิทัลในกรุงจาการ์ตาและประสบความสำเร็จด้วยดี มีผู้ใช้บริการเพิ่มต่อเนื่อง สะท้อนว่าอุตสาหกรรมการเงินในรูปแบบดิจิทัลในอินโดนีเซียกำลังมาแรง