เครื่องใช้ไฟฟ้ายอดพุ่ง35% ‘ช้อปดีมีคืน’ กระตุ้นดีมานด์

เครื่องใช้ไฟฟ้ายอดพุ่ง35%  ‘ช้อปดีมีคืน’ กระตุ้นดีมานด์

อานิสงส์ช้อปดีมีคืนปลุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า-ไอที 2 แสนล้านคึกคัก ดันยอดขายพุ่ง 20-35% สินค้าทีวีมาแรงอันดับหนึ่ง สมาคมค้าปลีก มั่นใจหนุนครึ่งปีแรกโตแกร่งแรงส่งค้าปลีกปีกระต่ายขยายตัว 6-8%

นางมัลลิกา เหลืองนิมิตรมาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บริษัท เพาเวอร์ บาย จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านโครงการ “ช้อปดีมีคืน” ตั้งแต่ 1 ม.ค.-15 ก.พ.2566  ทำให้ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าไตรมาสแรกของปีนี้  มีความคึกคักมกขึ้น ดึงดูดลูกค้าสนใจเลือกซื้อสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าซึ่งถือเป็นสินค้าจำเป็นได้รวดเร็ว 

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ มีการจัดทำโปรโมชั่นออกมากระตุ้นกำลังซื้อทำให้ยอดขายเติบโตในทิศทางที่ดี

สำหรับเพาเวอร์บายมีกลุ่มลูกค้าเข้าใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 20% แสดงให้เห็นถึงความสนใจของลูกค้าในโครงการนี้ โดยให้การตอบรับเลือกซื้อสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าทีวีมากสุด เนื่องจากเป็นสินค้าชิ้นใหญ่ มีมูลค่าสูง จึงสามารถเลือกใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้วงเงินสูงตามที่กำหนดไว้ ส่วนสินค้าที่ได้รับความนิยมรองลงมาได้แก่ สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านขนาดเล็ก และกลุ่มสินค้าแก็ดเจ็ท และอุปกรณ์ไอทีต่างๆ

เครื่องใช้ไฟฟ้ายอดพุ่ง35%  ‘ช้อปดีมีคืน’ กระตุ้นดีมานด์ "ปีนี้เพาเวอร์บายยังรุกขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายสาขาใหม่ จากปัจจุบันเปิดบริการ 137 สาขาทั่วประเทศ พร้อมกลยุทธ์การตลาดที่เข้มข้น"

ทางด้าน เพาเวอร์ มอลล์ ภายใต้ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ระบุว่า ภาพรวมยอดขายในร้านเพาเวอร์มอลล์ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและไอที เติบโต 30% โดยสินค้ากลุ่มขายดีจะเป็น กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มีการขยายตัวสูงถึง 35%  ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าเติบโตได้ดีมาจากมาตรการช้อปดีมีคืน รวมถึงแคมเปญใหญ่ new year new life พร้อมโปรโมชั่น ช้อป 5,000 บาทขึ้นไป รับเพิ่ม 500 บาท  ในช่วงมีมาตรการช้อปดีมีคืน เชื่อว่าตอบโจทย์การใช้จ่ายของลูกค้าและส่งผลให้ยอดขายเพิ่มสูงขึ้น

ทางด้านนายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ นักวิชาการด้านค้าปลีก และรองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวถึง มาตรการช้อปดีมีคืน ว่า ส่งผลดีต่อตลาดรวมค้าปลีกไทยในช่วงครึ่งปีแรกที่มีหลายมาตรการมากระตุ้น  นอกจากมาตรการช้อปดีมีคืน ยังมีมีเทศกาลตรุษจีน และเทศกาลสงกรานต์ รวมถึงมีแนวโน้มที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ทำให้ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกในช่วงครึ่งปีแรกมีโอกาสเติบโตมากกว่าช่วงครึ่งปีหลัง จึงส่งผลทำให้สินค้าไทยหลากหลายกลุ่มมีการเติบโตดีตามไปด้วย

“ช่วงครึ่งปีหลังจะต้องประเมินสถานการณ์หลายด้าน โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองหลังเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งและบริการ ควรประเมินปัจจัยต่างๆ อย่างรอบด้าน เพื่อจัดทำแผนในการลงทุนและทำตลาด”

อย่างไรก็ดี คาดการณ์ว่า ภาพรวมตลาดค้าปลีกค้าส่งและบริการในปี 2566 นี้จะขยายตัวในระดับ 6-8% มากกว่า จีดีพีประเทศไทยในปีนี้ ที่คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัว 3.7%  ส่งผลดีต่อเนื่องไปยังสินค้าอุปโภคและบริโภคหลากหลายกลุ่ม รวมถึงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า