"ทัวร์ญี่ปุ่น" นำทัพฟื้น "ไทยเที่ยวนอก" ทวงคืนตลาด 3 แสนล้านฝ่าปัจจัยลบ!

"ทัวร์ญี่ปุ่น" นำทัพฟื้น "ไทยเที่ยวนอก"  ทวงคืนตลาด 3 แสนล้านฝ่าปัจจัยลบ!

กระแสเช็กอิน “เที่ยวต่างประเทศ” ช่วงปลายปีเต็มโซเชียลมีเดีย! นักท่องเที่ยวไทยขอทวงคืนความปกติสุขจากการได้ออกไปจับจ่าย เปลี่ยนบรรยากาศนอกประเทศ หลังอัดอั้นการเดินทางมานานเกือบ 3 ปีเต็มเพราะโควิด-19

หนึ่งในจุดหมายยอดนิยมหนีไม่พ้น “ญี่ปุ่น” ช่วยกระตุ้นภาพรวมการฟื้นตัวของตลาด “คนไทยเที่ยวต่างประเทศ” ซึ่งเคยมีมูลค่าการใช้จ่ายรวม 3.3 แสนล้านบาท จากจำนวนคนไทยเที่ยวนอก 11 ล้านคน สูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปี 2562

ล่าสุด วีซ่า” ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก เผยผลสำรวจเทรนด์การท่องเที่ยวต่างประเทศของนักเดินทางชาวไทยสำหรับปี 2023 โดย YouGov ระบุว่าจุดหมายปลายทาง 5 อันดับแรกที่นักเดินทางชาวไทยปรารถนาจะไปเยือนมากที่สุดในปีหน้า “อันดับ 1 คือ ญี่ปุ่น” รองลงมา เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร

ด้านสถิติเมื่อปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 “องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น” (JNTO) รายงานว่า มีนักท่องเที่ยวไทยไปญี่ปุ่น 1,318,977 คน คิดเป็นสัดส่วน 4.1% มากเป็น “อันดับ 6” ของตลาดต่างชาติเที่ยวญี่ปุ่นทั้งหมด รองจากเกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน ฮ่องกง และสหรัฐ และมากเป็นอันดับ 1 ของตลาดอาเซียนเที่ยวญี่ปุ่น โดยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเกิน 1 ล้านคน

เจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) เปิดเผยว่า ตลาดคนไทย “เที่ยวญี่ปุ่น” จะเป็นตลาดที่ฟื้นตัวโดดเด่นมากที่สุดในปี 2566 คาดมีจำนวนประมาณ 9 แสนคน กลับมาถึง 70% เมื่อเทียบกับภาวะปกติปี 2562 ถือเป็นตลาดนำทัพการฟื้นตัวของภาพรวมตลาด “ไทยเที่ยวนอก” ในปีหน้า!

สำหรับจุดหมายที่ฟื้นตัวโดดเด่นรองลงมาคือ “เกาหลีใต้” คาดกลับมา 50% ส่วน “ไต้หวัน” คาดกลับมา 50% ต้องรอให้คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นก่อน เพราะลักษณะสินค้าท่องเที่ยวค่อนข้างใกล้เคียงกัน ขณะที่ “ฮ่องกง” คาดกลับมา 60% เนื่องจากเป็นจุดหมายที่คนไทยรู้จักดี นิยมไปชอปปิง ด้าน “เวียดนาม” ถือเป็นตลาดน้องใหม่ที่มาแรงและแข็งแกร่ง มีสินค้าใหม่ๆ มานำเสนอ ทั้งสายการบินยังใจถึง โหมเปิดเส้นทางบินและเพิ่มเที่ยวบินกระตุ้นดีมานด์

“สมาคมฯคาดว่าภาพรวมตลาดไทยเที่ยวนอกปี 2566 น่าจะฟื้นตัว 50% เมื่อเทียบกับปี 2562 เพิ่มขึ้นจากตลอดปีนี้ที่เริ่มฟื้นตัวในระดับ 30% เนื่องจากมีปัจจัยลบแทรกซ้อนมาก”

ทั้ง “วิกฤติโควิด-19” ส่งผลกระทบต่อ “กำลังซื้อ” ของวัยหนุ่มสาวและวัยทำงาน เจอปัญหาสภาพคล่อง รายได้ลดลง ต้องประหยัดค่าใช้จ่าย บางรายได้รับบาดเจ็บจากการลงทุนตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ทำให้ต้องกำเงินสดเอาไว้ จากเคยเที่ยวถี่ 3-4 ครั้งต่อปี เหลือ 1 ครั้งต่อปี เลือกไปเส้นทางระยะสั้นหรือระยะไกลอย่างใดอย่างหนึ่ง

เมื่อตลาดแคบลง! จึงเหลือลูกค้าที่ไม่มีปัญหากำลังซื้อ เช่น ลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 50% ของตลาดไทยเที่ยวนอกทั้งหมด และลูกค้ากลุ่มผู้สูงวัยที่กล้าใช้เงินเที่ยว และยังเป็น “ครีม” ให้ผู้ประกอบการได้ช่วงชิง ด้านลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ บริษัททัวร์ต้องปรับกลยุทธ์การขายแพ็กเกจทัวร์ให้มี “วันอิสระ” ในโปรแกรมมากขึ้น เพื่อดึงดูดให้ลูกค้ายังเลือกเดินทางกับทัวร์

นอกจากนี้ ตลาดไทยเที่ยวนอกยังได้รับผลกระทบจากต้นทุนการเดินทางที่สูงขึ้น โดยเฉพาะ “ค่าตั๋วเครื่องบินแพง” เมื่อก่อนบริษัททัวร์ยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนตั๋วเครื่องบินด้วยการเกลี่ยราคาตั๋วได้ แต่ตอนนี้อ่านอนาคตยากมาก ผู้ประกอบการทัวร์ไม่อยากขาดทุนอีกแล้ว การเสนอขายแพ็กเกจทัวร์จำเป็นต้องติดป้ายราคาแบบบวกเพิ่มภายหลัง เช่น ตอนซื้อทัวร์ ลูกค้าสามารถจ่ายค่าห้องพักและค่าอาหารก่อนได้ ส่วนค่าตั๋วเครื่องบินค่อยบวกเพิ่มตามการขึ้นลงของราคาตั๋วและภาษีน้ำมันอีกที

ธนพล ชีวรัตนพร อุปนายก ทีทีเอเอ กล่าวเสริมว่า ส่วนตัวประเมินแนวโน้มตลาดคนไทยเที่ยวญี่ปุ่นในปี 2566 น่าจะใกล้เคียงจำนวน 1.3 ล้านคนเมื่อปี 2562 โดยในช่วงวันหยุดยาว “เทศกาลปีใหม่” นี้ แพ็กเกจทัวร์ไปญี่ปุ่นขายเกือบหมด 100% ตั๋วเครื่องบินถูกล็อกไว้หมดแล้ว เหลือขายในตลาดแต่แพ็กเกจทัวร์ราคาแพง 80,000-90,000 บาทต่อคน

“ปีนี้คนไทยเตรียมตัวไปเที่ยวญี่ปุ่นกันจำนวนมาก ไปกันทุกทาง ทั้งผ่านบริษัททัวร์และไปเที่ยวด้วยตัวเอง (FIT) ส่งผลให้ตลาดนี้ฟื้นตัวชัดเจนมากที่สุด”

ประกอบกับเมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา “ฟูมิโอะ คิชิดะ” นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีงานสัมมนา “Japan-Thailand Tourism Seminar: Embark upon a new adventure, Discover new treasures” จัดโดย JNTO เพื่อเชิญชวนนักท่องเที่ยวไทยไปเยือนญี่ปุ่นด้วยตัวเอง

สะท้อนว่าญี่ปุ่นให้ความสำคัญแก่ภาคการท่องเที่ยว เน้นบุกตลาด “นักท่องเที่ยวไทย” ซึ่งมีดีทั้งจำนวนคนและกำลังซื้อ!