"อินเดีย" เลือกเที่ยวไทยอันดับ 1 ไฮซีซัน! ททท.คาดปี 65 ดันยอดทะลุ 8 แสนคน

"อินเดีย" เลือกเที่ยวไทยอันดับ 1 ไฮซีซัน! ททท.คาดปี 65 ดันยอดทะลุ 8 แสนคน

ตลาดนักท่องเที่ยว “อินเดีย” ถูกยกให้เป็น “ความหวัง” ในการกอบกู้สถานการณ์ภาคท่องเที่ยวไทยพ้นบ่วงวิกฤติโควิด-19 จากสถิติยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยสะสมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 พบว่ามีนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้ามามากเป็นอันดับ 2 ด้วยจำนวน 561,656 คน

เป็นรองแค่ตลาด “มาเลเซีย” ที่เพิ่งทะลุ 1 ล้านคนเมื่อวันที่ 3 ต.ค.

ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท.คาดการณ์ว่าสิ้นปีนี้มีแนวโน้มเห็นนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางมาไทย 8-9 แสนคน หลังพบว่ายอดจองล่วงหน้า (Forward Booking) ช่วงไตรมาส 4 นี้ดูดีมาก เกินระดับ 60% แล้ว

แนวโน้มการเติบโตของปริมาณที่นั่งโดยสารช่วงตารางบินฤดูหนาว 2022/2023 จากพื้นที่ “เอเชียใต้” อยู่ที่ 66,877 ที่นั่งต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 42.4% เมื่อเทียบกับตารางบินฤดูร้อน 2022 โดยมีสายการบินต่างๆ สนใจทำการบินเปิดเส้นทางใหม่และเพิ่มเที่ยวบินมากขึ้น เช่น ไทยเวียตเจ็ท อยู่ระหว่างขอสลอตทำการบินจากเมืองรองในประเทศอินเดียมาไทย

ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Business of Travel Trade (BOTT) ซึ่งเป็นสื่อด้าน Travel Trade ในอินเดีย ได้จัดทำแบบสำรวจ “The BOTT Travel Sentiment Tracker” สอบถามกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวอินเดียกลุ่มมิลเลนเนียลส์ กว่า 8,500 คนทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 ส.ค.-15 ก.ย.ที่ผ่านมา พบว่า 82% วางแผนเดินทางท่องเที่ยวกับครอบครัวภายในปีนี้ ขณะที่ 56% เลือกเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ

โดยจุดหมายปลายทางระยะใกล้สำหรับช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซัน) ที่จะมาถึงนี้ 62% เลือกมาเที่ยวประเทศไทยมากเป็นอันดับ 1 รองลงมาคือ สิงคโปร์ 55% สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 52% มัลดีฟส์ 43% และเวียดนาม 36% ส่วนจุดหมายปลายทางระยะไกล 47% เลือกไปเที่ยวสหรัฐมากเป็นอันดับ 1 รองลงมาคือฝรั่งเศส 46% สหราชอาณาจักร 45% เยอรมนี 44% และสวิตเซอร์แลนด์ 43%

สำหรับแหล่งท่องเที่ยว Top 5 ที่นักท่องเที่ยวอินเดียกลุ่มมิลเลนเนียลส์นิยมเดินทางไปเยือนมากที่สุด อันดับ 1 คือ สถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งชอปปิงยอดนิยม 36% รองลงมาคือหาดทรายชายทะเล 31% ตามมาด้วยโรงแรมและรีสอร์ทระดับหรูหรา 29% จุดหมายปลายทางแนวผจญภัยและภูเขา 25% และจุดหมายปลายทางด้านประวัติศาสตร์ 22%

“วันพักเฉลี่ยในการท่องเที่ยวของชาวอินเดียกลุ่มมิลเลนเนียลส์จะอยู่ที่ 5-7 วัน และเลือกที่จะพักในโรงแรมและรีสอร์ทระดับหรูหรามากขึ้น”

ด้านสายการบิน “ไทยแอร์เอเชีย” ตอกย้ำโอกาสการเติบโตของตลาดอินเดียและเอเชียใต้ ล่าสุดเปิดบินตรงเส้นทางใหม่ 2 เส้นทาง จากดอนเมืองสู่ “ธากา” เมืองหลวงประเทศบังกลาเทศ ความถี่ 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ บินทุกวันจันทร์ อังคาร พฤหัสบดี เสาร์ และสู่ “ลัคเนา” ตอนเหนือของประเทศอินเดีย ความถี่ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ บินทุกวันพุธ ศุกร์ เเละอาทิตย์ ทั้ง 2 เส้นทางเริ่มให้บริการตั้งเเต่วันที่ 24 พ.ย.2565 ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวเอเชียใต้เข้าไทยเชื่อมต่อเส้นทางภายในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

สันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า หลังสถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลายและการเดินทางท่องเที่ยวเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ตลาด “อินเดีย” เเละ “เอเชียใต้” ถือเป็นกลุ่มผู้โดยสารที่เติบโตอย่างรวดเร็ว! โดยแอร์เอเชียสามารถเปิดเส้นทางบินได้เเล้วรวม 7 เส้นทางก่อนหน้านี้ จากดอนเมืองสู่ โกลกาตา โกชิ ชัยปุระ บังกาลอร์ เชนไน คยา ประเทศอินเดีย และประเทศมัลดีฟส์

ทุกเส้นทางได้รับการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวอินเดียที่เดินทางเข้ามาใช้จ่ายการท่องเที่ยวพร้อมเชื่อมต่อการเดินทางในประเทศไทย และเมื่อรวมกับอีก 2 เส้นทางใหม่ สู่ ธากา ประเทศบังกลาเทศ และลัคเนา ประเทศอินเดีย ทำให้ไทยแอร์เอเชียมีเส้นทางบินสู่อินเดียและเอเชียใต้รวม 9 เส้นทางในปัจจุบัน

“นักท่องเที่ยวจากอินเดียและเอเชียใต้ถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวหลักของไทยที่เติบโตอย่างรวดเร็ว นับตั้งเเต่การเปิดประเทศในปีนี้ต่อเนื่องไปจนปี 2566”

ทั้งนี้ ธากา และ ลัคเนา เป็น 2 เส้นทางบินใหม่ที่น่าตื่นเต้น เพราะเป็นครั้งเเรกที่แอร์เอเชียเปิดให้บริการบินตรง นอกเหนือจากเป้าหมายในการดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทยเเล้ว ด้วยจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ และความอลังการของอารยะสถาปัตยกรรม จะเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ของคนไทยสายเที่ยว ท้าทายประสบการณ์ที่ต้องสัมผัสสักครั้งในชีวิตด้วย

นันทพร โกมลสิทธิ์เวช ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ กล่าวว่า ปัจจุบันไทยไลอ้อนแอร์ให้บริการเส้นทางบินสู่ประเทศอินเดีย 1 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ (ดอนเมือง)-มุมไบ ความถี่ 1 เที่ยวบินต่อวัน ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดียเกือบ 100% โดยไตรมาส 4 ปีนี้คาดมีอัตราการขนส่งผู้โดยสาร (โหลดแฟคเตอร์) 65% ใกล้เคียงกับช่วงให้บริการที่ผ่านมาซึ่งมีโหลดแฟคเตอร์เฉลี่ย 60-65%