ยุคที่ ยิ่งทำมาก ยิ่งได้น้อย!

ยุคที่ ยิ่งทำมาก ยิ่งได้น้อย!

เป็นยุคที่ยิ่งทุ่มความพยายามลงไปเท่าไหร่ เหมือนนำทรายไปถมทะเล

Part.1.ไม่จำเป็นต้องบอกสาเหตุ

เป็นที่รับรู้กันว่าแทบทุกธุรกิจซบเซาหนัก นับตั้งแต่ท่องเที่ยวของไทยทรุด นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากจีนหายไป ไม่รวมปัญหาการเมืองบั่นทอนจิตใจผู้คนจนไม่มีอารมณ์จับจ่ายใช้สอย 

เป็นยุคที่ยิ่งทุ่มความพยายามลงไปเท่าไหร่ เหมือนนำทรายไปถมทะเล หายวับไม่มีอะไรเกิดขึ้น!

ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องคิดมาก เพราะเป็นเรื่องที่เกิดกับทุกธุรกิจในวันนี้!

Part.2.จะไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้

เพราะฉะนั้นบรรดาเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารต่างก็พยายาม ทุ่มทั้งงบประมาณ ทั้งเวลา อาจจะด้วยความตกใจที่ไม่เคยเห็นความซบเซาขนาดนี้เลยทุ่มเทแบบสะเปะสปะ ยิ่งทุ่มเงินยิ่งหาย จนท้อใจพลิกตำราก็แล้ว จ้างที่ปรึกษาก็แล้ว ลองทุ่มงบอีกก็แล้วยังคงเงียบ

Part.3. จะอยู่เฉยหรือจะลองทุ่มอีกครั้งดี?

ไม่มีใครรู้คำตอบธุรกิจของท่านเท่าตัวท่านเอง แม้กระทั่งที่ปรึกษาที่เก่งๆ ก็เก่งเฉพาะด้านบ้างเก่งแบบกว้างๆบ้าง ถ้าให้ที่ปรึกษาไปลองแก้ปัญหาให้ธุรกิจท่านโดยที่ปรึกษาคิดเอง ทำเองอาจไปไม่เป็นเลยก็ได้

ท่านจะรู้ธุรกิจและสถานการณ์ของท่านดีที่สุด ท่านค่อยๆคิดก็จะรู้ว่า ถ้าไม่เคยเจอสถานการณ์ที่สภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อซบเซาหนักขนาดนี้

อย่าเริ่มต้นด้วยความตระหนก ยังไงก็ผ่านความตกอกตกใจกันมาพักนึงแล้ว เช่น รายได้เข้าน้อยมาก แต่รายจ่ายยังคงเดิม หรือเพิ่มขึ้นเพราะทุ่มงบไปก็เงียบ เกือบทุกที่เงียบ ไม่ใช่ธุรกิจของท่านเงียบคนเดียว แต่ถ้าท่านมีกระแสเงินสดเยอะ

ในสภาวะที่ตลาดซบเซาแบบนี้ เป็นโอกาสที่ท่านจะใช้กลยทุทธ์การตลาดโดยใช้งบไม่มาก แต่สินค้าบริการของท่านจะโดดเด่นขึ้นมาได้ เพราะคํ่แข่งต่างก็ไม่มีใครทำอะไมากในช่วงนี้

ย้ำถ้ามีเงินเพียงพอไม่ต้องกังวล (อันนี้เป็นกลยุทธ์หลักที่คุณ ตัน อิชิตัน ใช้มาจนถึงปัจจุบัน)

แต่ถ้าไม่ค่อยมีงบหรืองบน้อย...

Part.4.สติกับสตางค์

บางครั้ง... การตั้งสติ ค่อยๆ คิดก็ไม่ช้าเกินไปว่าเรื่องใดไม่ควรทุ่มเทลงไป เรื่องใดควรตัดงบประมาณด้วยซ้ำ แล้ว Focus จากฐานข้อมูลลูกค้าที่มี ประวัติการซื้อต่างๆ กลับมาที่เรื่องพื้นฐานตรงนี้ อาจมองเห็นโอกาสบางอย่างที่มองข้าม หรือ ลืมคิดไป

เช่น เคยมีสินค้า หรือ บริการบางชนิด สร้างยอดขายได้ดีในอดีต แต่ภายหลังค่อยๆซบเซาลงไปจนแทบจะหายไปจากตลาด

คำถามที่ควรถามคือ สินค้า บริการที่เคยขายดีนั้น เป็นเพราะช่วงนั้นเป็นสินค้าใหม่ คู่แข่งน้อย หรือเป็นสินค้าที่ออกมาเข้ากับกระแสในช่วงนั้น

คำถามถัดไปคือ ลูกค้ากลุ่มใดเป็นลูกค้าหลักที่ซื้อ และที่เลิกซื้อเพราะอะไร?

ถ้าจะนำสินค้าบริการมาปรับโฉมใหม่ ใส่คุณค่าใหม่ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับตัวสินค้า โดยไม่ต้องลงทุน

อะไรมาก อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยกระตุ้นตลาดได้

หรือ ลูกค้าเก่าที่เคยซื้อแต่ปัจจุบันไม่ได้ซื้อ อาจจะไม่ใช่เพราะไม่มีกำลังซื้อ เพียงแต่ลูกค้าเก่าเหล่านั้นพบทางเลือกอื่นที่ดีกว่า

ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรที่จะพยายามลองติดต่อกลับไปพูดคุยกับลูกค้ากลุ่มนี้ เพื่อค้นหา ปัญหาความต้องการในปัจจุบัน วิธีนี้ไม่เสียเวลาเปล่าแทบจะไม่ได้ใช้งบประมาณอะไรเลย แต่ผลที่ได้กลับมามักจะดึงลูกค้าบางส่วนให้กลับมาใช้บริการได้

Part.5.มองในมุมดีๆ บ้าง

ช่วงค้าขายดี ท่านอาจไม่ค่อยมีเวลาให้กับครอบครัว เพราะมัวยุ่งอยู่กับการทำมาหากิน แต่ในช่วงเวลานี้เวลาของท่านว่างมากขึ้น ท่านอาจมีเวลาให้ครอบครัวเติมเต็มความสุขของครอบครัวและตัวท่านเองด้วย จะหาเงินไปเพื่ออะไร ถ้าต้องทำธุรกิจแบบไม่มีวันหยุด ทำแบบหนูถีบจักรปั่นจนขาดใจตาย ทำไปสนุกไปมีความสุขไปน่าจะดีกว่า

บางทีช่วงนี้อาจเป็นช่วงที่ดีที่สุดที่ท่านจะกลับมาตั้งคำถามว่า จะFocusที่ธุรกิจกี่เปอร์เซ็นต์ และจะFocusที่ครอบครัวกี่เปอร์เซ็นต์ ช่วงเวลาที่เหลืออาจทำธุรกิจอย่างมีความสุขขึ้น

ในสภาวะที่ตลาดซบเซาก็ได้นะครับ.