"ยุคทอง" ของหุ้นสหรัฐฯ กำลังเริ่มต้น !

"ยุคทอง" ของหุ้นสหรัฐฯ กำลังเริ่มต้น !

นอกจากทรัมป์จะบอกว่านับตั้งแต่วันแรกที่เขารับตำแหน่งจะเป็นจุดเริ่มต้น “ยุคทอง” ของสหรัฐฯ นั้นนอกจากจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ ยังอาจเป็นยุคทองของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่นกัน เพราะมีนโยบายที่ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นชัดเจน

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 อย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา พร้อมกล่าวว่า “ยุคทอง” ของสหรัฐฯ กำลังเริ่มต้นขึ้น โดยออกคำสั่งประธานาธิบดี (Executive orders) หลายฉบับ และคำแถลงต่าง ๆ ที่เป็นแนวทางในการบริหารประเทศในช่วง 100 วันแรก ซึ่งแบ่งเป็นประเด็นต่าง ๆ ที่ช่วยสนับสนุน ภาครัฐฯ, ธุรกิจในประเทศสหรัฐฯ และรวมถึงบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วย ดังนี้

1. หน่วยงาน DOGE ทรัมป์ลงนามคำสั่งจัดตั้งกลุ่ม Department of Government Efficiency (DOGE) ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อหาแนวทางลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นของภาครัฐลง ซึ่งสามารถนำงบประมาณของรัฐฯ ไปบริหารนโยบายด้านอื่นให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งนายอีลอน มัสก์เคยระบุว่าหน่วยงานนี้มีเป้าหมายเพื่อที่จะลดรายจ่ายภาครัฐมากถึงสองล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 8% ของ GDP สหรัฐฯ

2. AI ทรัมป์ประกาศโครงการลงทุนด้านยุทธศาสตร์ AI ในชื่อ Stargate ทันที มูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และตั้งเป้าเงินลงทุนโดยรวมทั้งหมดอย่างน้อย 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2% ของ GDP และยกเลิกกฎเกณฑ์ควบคุมการพัฒนา AI ที่เคยบังคับใช้ในสมัยของไบเดน บ่งชี้ถึงการให้ความสำคัญกับอิสระและประสิทธิภาพในการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีมากกว่าการควบคุมความเสี่ยง

3. อุตสาหกรรมพลังงาน ทรัมป์ลงนามคำสั่งให้สหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และจะประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานเพื่อเร่งการขุดเจาะพลังงานฟอสซิล เพื่อทำให้ราคาพลังงานถูกลง

4. พิจารณาตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้า โดยทรัมป์กำลังพิจารณาว่าจะปรับขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้ากับจีนในอัตรา 10% และอาจมีการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้ากับประเทศแคนาดาและเม็กซิโกด้วยอัตราภาษีสูงถึง 25% ในวันที่ 1 ก.พ. 2568

5. การอพยพ ทรัมป์กล่าวว่าจะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราชายแดนเพื่อจำกัดการเข้ามาของผู้อพยพ ซึ่งมีผลต่อการแย่งงานคนสหรัฐฯ

โดยคำสั่งหรือคำแถลงต่าง ๆ ล้วนส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจและธุรกิจภายในประเทศสหรัฐฯ เช่น ด้านเศรษฐกิจมหภาคที่เพิ่มการเก็บภาษีนำเข้า, การเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราชายแดนที่จะช่วยลดการแย่งงานในสหรัฐฯ รวมถึงส่งเสริมการลงทุนโครงการ Stargate จากรัฐฯ จะช่วยให้ GDP สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นได้จากทั้งการบริโภคจากภาคเอกชนและภาครัฐฯ และรายจ่ายจากการนำเข้าที่ลดลง สอดคล้องกับการปรับประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดย IMF ในปี 2025 เพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนถึง 0.5% สู่ +2.7% ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ปรับประมาณการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลก 

ขณะที่ ในด้านการลงทุนในตลาดเงินและตลาดหุ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าทั่วโลกซึ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นและอาจส่งผลให้ Fed ชะลอการลดดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ดีคำสั่งที่ออกมาล่าสุดของทรัมป์ที่พยายามขึ้นภาษีนำเข้าเพียงบางประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้นักลงทุนคลายกังวลว่าเงินเฟ้อจะกลับไปเร่งตัวขึ้นรุนแรงและนักลงทุนยังเชื่อว่า Fed จะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 0.5% ภายในปีนี้ตามที่ Fed คาดการณ์ไว้ได้

ขณะที่การเก็บภาษีนำเข้าจะช่วยเพิ่มโอกาสที่กฎหมายลดภาษีนิติบุคคลจะผ่านสภาได้ โดยการประเมินของ BofA ระบุว่าการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% จะช่วยให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 4% ทันทีที่กฎหมายบังคับใช้ ซึ่งนักวิเคราะห์จาก Bloomberg consensus ประเมินว่ากำไรของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 ปี 2025 จะเติบโตราว 14% ซึ่งสูงกว่าตลาดหุ้นโลกดัชนี MSCI ACWI ที่จะเติบโตเพียง 8% เท่านั้น และเมื่อจำแนกเป็นรายอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากมาตรการลดภาษีมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย, กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มการเงิน

โดยสรุปแล้วอาจกล่าวได้ว่านอกจากทรัมป์จะบอกว่านับตั้งแต่วันแรกที่เขารับตำแหน่งจะเป็นจุดเริ่มต้น “ยุคทอง” ของสหรัฐฯ นั้นนอกจากจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ ยังอาจเป็นยุคทองของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่นกัน เพราะมีนโยบายที่ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นชัดเจน เช่น การลดภาษีนิติบุคคล รวมถึงประเด็นเงินเฟ้อที่หลายฝ่ายกังวลน่าจะมีผลกระทบน้อยกว่าที่ประเมินไว้ จึงควรมีหุ้นสหรัฐฯ ติดพอร์ตการลงทุนไว้เพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างโดดเด่นรับยุคทองที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้

หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ [email protected] I บทความโดย ศิวกร ทองหล่อ CFP® Wealth Manager