SINGER เคลียร์ข้อสังสัยตลท. แจงนโยบายธุรกิจชัด ฟากราคาหุ้นพุ่งจาก 'ก้นเหว'

SINGER เคลียร์ข้อสังสัยตลท. แจงนโยบายธุรกิจชัด ฟากราคาหุ้นพุ่งจาก 'ก้นเหว'

SINGER เคลียร์ข้อสงสัย ตลท. หลังโดนให้แจงนโยบายดำเนินธุรกิจระหว่าง “ซิงเกอร์” และ “เอสจี แคปปิตอล” ฟากราคาหุ้น “ถูกจุดพลุเก็งกำไร” รอบใหม่ ! หลังใช้เวลาไม่ถึงเดือนราคาหุ้นคืนชีพทะยานเกิน 100% บนความคาดหวังผลดำเนินงานครึ่งหลังพลิกฟื้น ด้านโบรกฯ ปรับลดกำไรปีนี้

หรือนี่คือการถูก “จุดพลุเก็งกำไร” ราคาหุ้นรอบใหม่ของ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER หรือไม่ ! หลังราคาพุ่งทะยานอย่างร้อนแรง...ทั้งๆ ที่ตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 และงวด 6 เดือนแรก “ขาดทุนสุทธิ” ค่อนข้างสาหัส !!

บ่งชี้ผ่านตัวเลขขาดทุนไตรมาส 2 ปี 2566 จำนวน 2,395.97 ล้านบาท “ลดลง” จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี “กำไรสุทธิ” 265.41 ล้านบาท 

และงวด 6 เดือนแรกปี 2566 ขาดทุนสุทธิจำนวน 2,329.34 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิจำนวน 480.83 ล้านบาท การขาดทุนหนักไตรมาส 2 ปี 66 สาเหตุหลักๆ เกิดจากการการตั้งสำรองค่าเผื่อการปรับลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือ และผลกระทบจากโควิด-19 !! 

หากย้อนดูราคา “หุ้น SINGER” นับตั้งแต่ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 เมื่อช่วงค่ำๆ ของวันที่ 10 ส.ค. 2566 พบว่าในวันถัดมา (11 ส.ค.) ราคาหุ้น SINGER ปรับตัวลงสร้าง “จุดต่ำสุดใหม่” ในรอบหลายปี อยู่ที่ 7.20 บาท (11 ส.ค.66) เนื่องจากนักลงทุนตื่นตระหนกผลประกอบการที่ขาดทุนเกินคาดไว้ จนเกิดการเทขายหุ้นออกมาอย่างหนักหน่วง 

แต่จากนั้นหุ้น SINGER กลับใช้เวลาภายในไม่ถึง 1 เดือน ราคาปรับตัวขึ้นแรงทำจุดสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ประกาศงบไตรมาส 2 ปี 66 ที่ราคา 16.10 บาท (31 ส.ค.) ปรับตัวขึ้นมา 8.90 บาท หรือเด้งมา 123.61% !! และล่าสุดวานนี้ (19 ก.ย.) ราคาหุ้นอยู่ที่ 14.20 บาท 

ล่าสุด “สปอร์ตไลท์” ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ทำงานโดยเคลื่อนไหวด้วยการสอบถามไปยัง “ซิงเกอร์” !! ถึงนโยบายการดำเนินธุรกิจระหว่าง บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย และบริษัทในเครือ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ซึ่ง ซิงเกอร์ประเทศไทย เคลียร์ประเด็นข้อสงสัยของตลาดหลักทรัพย์ที่สอบถามมาทันที !! 

สะท้อนผ่าน เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2566 บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย รายงานผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มเติมตามที่สอบถามเพื่อความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการดำเนินธุรกิจของ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย และบริษัท เอสจีแคปปิตอล ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ตามที่ได้เปิดเผยในคำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการสำหรับงวด 3 เดือน และงวด 6 เดือน (สิ้นสุด 30 มิ.ย.2566) 

โดยมีลักษณะรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ดังนี้ 1.SINGER ดำเนินธุรกิจเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าเพื่อการพาณิชย์หลากหลายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “ซิงเกอร์” เช่น จักรเย็บผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านต่างๆ ตู้แช่ ตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือออนไลน์ ตู้เติมน้ำมันแบบหยอดเหรียญ เครื่องทำน้ำหวานเกล็ดหิมะ 

และเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าแบรนด์อื่นๆ เช่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ ผ่านร้านค้าปลีกซึ่งเป็นสาขาของบริษัทฯ และผ่านช่องทางตัวแทนจำหน่ายต่างๆ โดยเป็นการขายสินค้าเงินสด ยกเว้นการขายสินค้ามือสองที่คงเหลืออยู่เป็นสินค้าคงคลังตามที่ปรากฏในงบการเงิน งวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 66 บริษัทจะขายในรูปของเงินสดและให้เช่าซื้อโดยบริษัทเอง

2.SGC ดำเนินธุรกิจให้สินเชื่อเช่าซื้อกับสินค้าใหม่หรือสินค้ามือหนึ่งเท่านั้นซึ่งรวมถึงสินค้าที่จำหน่ายโดยบริษัท (กรณีลูกค้าของบริษัทฯ ต้องการซื้อสินค้าเงินผ่อน) และ SGC จะเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้ายึดจากลูกค้าผิดนัดในรูปของสินค้ามือสองโดยไม่มีการขายคืนสินค้ายึดดังกล่าวให้กับบริษัทแต่อย่างใด

ขณะที่ในมุมของผลดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2566 ของ SINGER ก็ต้องจับตาดูเช่นกัน ! เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าผลดำเนินงานนั้นผ่านพ้น “จุดต่ำสุด” ไปแล้วเรื่อง “จริง” หรือ “เท็จ” อันนี้คงต้องรอตัวเลขเฉลยในไตรมาส 3 ปี 2566

แม้ก่อนหน้านี้ระดับผู้บริหารของ SINGER ออกโรงย้ำความมั่นใจ “เราไม่มีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่แล้ว !!” ไตรมาส 2 ที่ผ่านมาคือ จุดต่ำสุดของ SINGER แล้ว และปัจจุบันพร้อมเดินหน้าแก้สารพัดปัญหารุมเร้า และเดินหน้าปรับโครงสร้างองค์ รวมทั้งเร่งควบคุมการอนุมัติสินเชื่ออย่างรอบคอบ และรัดกุมมากขึ้น... 

ฟาก บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยังคงแนะนำ “ขาย” หุ้น SINGER สะท้อนผ่านการ “ปรับลดประมาณการกำไร” ปี 2566 แต่ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2567 โดยมีการปรับประมาณการผลขาดทุนจากการดำเนินงานในปี 2566 ขึ้นอีกเพื่อสะท้อนถึง credit cost ที่สูงถึง 2.8 พันล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 66 แต่ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2567 ขึ้นอีก 24% เพื่อสะท้อนถึง credit cost ที่ลดลง... 

สุดท้าย นักลงทุนกำลังเก็งกำไรหุ้น SINGER บนความคาดหวังว่าผลประกอบการครึ่งหลังปี 2566 ฟื้นตัว ซึ่งต้องติดตามดูว่าผลการดำเนินงานบริษัทจะกลับตัวขึ้นจริงหรือไม่ และผลกำไรจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้งหรือไม่ ?!