“เฟรเซอร์ส” รับทุนย้านฐาน ลุยกลยุทธ์ชิงตลาด “นิวอีโคโนมี”

“เฟรเซอร์ส” รับทุนย้านฐาน ลุยกลยุทธ์ชิงตลาด “นิวอีโคโนมี”

“เฟรเซอร์ส  พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล” กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมในเครือเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ขยายการลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี ข้างหน้าปีละ 10,000 ล้านบาท รองรับลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ และการย้ายฐานผลิตจากจีน

โสภณ ราชรักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2565 จะเป็นการสานต่อกลยุทธ์ “น่านน้ำสีม่วง” ซึ่งบริษัทมีทั้งความพร้อมด้านพื้นที่ 3.1 ล้านตารางเมตร และด้านแผนการลงทุนที่แตกต่างเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้า “นิวอีโคโนมี” อาทิ อีคอมเมิร์ซ เอ็กเพรสดิลิเวอร์รี่ อิเล็กโทรนิกส์ ยานยนต์อีวี และอุปกรณ์การแพทย์

“กลุ่มธุรกิจสมัยใหม่โดยเฉพาะอีคอมเมิร์ซ มีอัตราการเติบโต 20-30% ทุกปี ซึ่งกิจกรรมในอีโคซิสเต็มของธุรกิจอีคอมเมิร์ซต้องใช้คลังสินค้าเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะมีความต้องการที่แตกต่างไปจากเดิม บริษัทจึงตั้งงบการลงทุนไว้ 50,000 ล้านบาท ใน 5 ปีข้างหน้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นและเปลี่ยนแปลงเร็ว”

ทั้งนี้ บริษัทได้คำนึงถึงการออกแบบพื้นที่ให้เป็น “คลังสินค้าสมัยใหม่” ที่ตอบโจทย์การทำงานของธุรกิจใหม่ โดยนำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติมาเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ฉลาดขึ้น รวมทั้งเลือกที่ดินที่ตั้งบนทำเลศักยภาพรองรับระบบโลจิสติกส์ใกล้เมืองและครบวงจร

“ขณะนี้เทรนด์ความต้องการ Storage และ Warehouse กำลังโตขึ้นมากทั้งในไทยและทั่วโลกเพราะการปรับตัวธุรกิจรีเทลขยายช่องทางการขายมากขึ้น ทำให้ประเมินว่าต้องใช้งบลงทุนเพิ่มจากเดิมที่ลงทุนเฉลี่ยปีละ 4,000 ล้านบาท ขยายตัวเป็น 10,000 ล้านบาท รวมทั้งมีการเปิดพื้นที่ใหม่เพื่อรองรับการเติบโตอย่างเต็มที่”

สำหรับในปี 2565 บริษัทเตรียมเปิดตัวเมกะโปรเจ็คท์ 2 โครงการ ได้แก่ 

1.เมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ในรูปแบบ Industrial Township คือแบ่งเป็น 3 โซนการใช้งานแบ่งเป็นด้านอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และที่พักอาศัย ตั้งอยู่ที่บริเวณบางพลี ถ.บางนา-ตราดกม.32 พื้นที่ 4,600 ไร่ พร้อมรองรับการลงทุนอีก 10 ปี

ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเฟสแรก พื้นที่ 1,300 ไร่ แบ่งเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ปาร์ค พื้นที่ 400 ไร่ จะเสร็จใน 3 ปี และเฟสแรกจะรองรับการลงทุนระหว่างปี 2565-2569

2.โลจิสติกส์-บิสเนสปาร์คขนาดเล็กใกล้เมือง ตั้งอยู่บริเวณเทศบาลปู่เจ้าสมิงพราย พระปะแดงจ.สมุทรปราการ พื้นที่ 40 ไร่ จะพัฒนารวม 40,000 ตารางเมตร โดยแบ่งเช่าเป็นพื้นที่ขนาดเล็ก2,000 ตารางเมตรต่อราย สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอีคอมเมิร์ซ สามารถใช้งานได้ในรูปแบบคลังเก็บสินค้า ออฟฟิศ และ Experience Store โดยจะเริ่มเปิดใช้งาน 3 ตึกแรกปลายปีนี้

นอกจากนี้ ได้ลงทุนต่างประเทศ ได้แก่ เมืองบินห์เยือง ประเทศเวียดนาม จะขยายพื้นที่เฟส 2 เพิ่มอีก 70,000 ตร.ม.หลังได้รับการตอบรับที่ดีในเฟสแรก ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีพื้นที่เช่าให้บริการในเวียดนามรวม 100,000 ตร.ม. และการลงทุนในอินโดนีเซีย ที่มีพื้นที่ต่อยอดได้ และปัจจุบันมีพื้นที่ให้บริการรวม 150,000 ตร.ม.

ทั้งนี้ คาดว่าผลการดำเนินงานปี 2565 จะเติบโตต่อเนื่อง มีเป้าหมายรายได้จากค่าเช่า 5,000 ล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน จากการบริหารจัดการรวมทั้งสิ้น 3.1 ล้านตารางเมตร ภายใต้อัตราการเช่าพื้นที่ (OCC) ที่ระดับ 85% ซึ่งรายได้ของบริษัทคิดเป็นสัดส่วน 20% ของรายได้รวมในพอร์ตเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้

สำหรับช่วงโควิด-19 ระลอกแรก ทำให้ภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบมากที่สุด รวมถึงธุรกิจคลังสินค้า เพราะมีการติดเชื้อในโรงงาน ทำให้กำลังการผลิตลดลง รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบและเรือขนส่ง ทำให้โรงงานบางส่วนตัดสินใจปิดชั่วคราว ซึ่งช่วงนั้นมีลูกค้ามาขอส่วนลดค่าเช่าเกือบ 100 ล้านบาท

ทั้งนี้ การระบาดระยะต่อมาภาคการผลิตเริ่มดีขึ้นด้วยมาตรการรับมือที่ดี ขณะเดียวกันธุรกิจคลังสินค้าได้รับอานิสงค์จากปัญหาการเกิดซัพพลายเชนช็อกในต่างประเทศ อาทิ การปิดท่าเรือ การขาดแคลนคอนเทนเนอร์ ทำให้ส่งสินค้าออกไปไม่ได้ รวมทั้งราคาค่าขนส่งที่สูง ซึ่งคาดว่าปัญหานี้ยืดเยื้อถึงสิ้นปี 2565 จากปัจจัยสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้เกิดดีมานต์ระยะสั้นในการเก็บสินค้าไว้ในประเทศ

“ดีมานต์ระยะสั้นที่เกิดขึ้นเป็นจังหวะให้บริษัทได้เก็บเกี่ยว คิดเป็นรายได้ราว 100 ล้านบาทต่อปีทั้งยังเป็นโอกาสมีลูกค้ารายใหม่เข้ามา เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ จากนี้จึงต้องวางแผนเปลี่ยนให้ลูกค้ากลุ่มนี้มาเป็นลูกค้าระยะยาวให้ได้”

นอกจากนี้ สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ ทำให้มองเห็นเทรนด์การย้ายฐานการผลิตที่ชัดเจน เป็นโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติในจีนรวมถึงนักลงทุนจีนเอง มองไทยและอาเซียนเป็นพื้นที่ศักยภาพ โดยเฉพาะ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ซึ่งยกระดับพื้นที่เป็น One-stop solution ที่รวมความเป็นพื้นที่เมืองอุตสาหกรรมและเมืองท่องเที่ยวพร้อมทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และข้อเสนอด้านสิทธิประโยชน์ที่สามารถแข่งขันกับประเทศใกล้เคียงได้

ปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่ในอีอีซี 1.5 ล้านตารางเมตร หรือ 2,000 ไร่ แบ่งเป็นคลังสินค้า 80% และโรงงาน 20% ซึ่งมีอัตราการเช่าอยู่ที่ 86% และมีพื้นที่เหลือ 100 กว่าไร่ ในโลจิสติกส์ปาร์คศรีราชา พร้อมรองรับการลงทุนใหม่ และมีพื้นที่ว่างบางส่วนซึ่งอยู่ในพื้นที่อุตสาหกรรม หากมีดีมานต์ที่เพิ่มขึ้นจะทยอยพัฒนาเพิ่ม

อย่างไรก็ตาม นโยบายซีโร่โควิดของประเทศจีนยังชะลอการเคลื่อนไหวของนักลงทุน จึงทำให้วันนี้ยังไม่เห็นภาพนักลงทุนที่เดินทางเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ