บล.กสิกรไทย แนะเก็งกำไรงบฯ Q1/65 ชู "SCB-KKP" ดาวเด่นหุ้นแบงก์

บล.กสิกรไทย แนะเก็งกำไรงบฯ Q1/65 ชู "SCB-KKP" ดาวเด่นหุ้นแบงก์

บล.กสิกรไทย มองหุ้นไทยสัปดาห์หน้าจะแกว่งตัวลงในกรอบแคบๆ แม้จะมีปัจจัยหนุนในช่วงสั้นๆ หลังมูดีส์คงอันดับความน่าเชื่อถือไทย แต่ยังถูกกดดันจากการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟด ติดตามการประกาศงบฯ กลุ่มแบงก์คาดกำไรโต 10% QoQ และ 1% YoY หุ้นเด่นในกลุ่ม คือ SCB และ KKP

บล.กสิกรไทย มองสัปดาห์หน้า (11-15 เม.ย.) ตลาดหุ้นโลกในระยะสั้นมีแนวโน้มแกว่งตัวลง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ และดูเหมือนว่าปัจจัยกดดันยังคงมีอยู่ อาทิ นโยบายการเงินตึงตัว (Hawkish) จากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)

โดยต้องติดตามการรายงานเงินเฟ้อสหรัฐ เดือน มี.ค. ในวันที่ 12 เม.ย. ซึ่งตลาดคาด 8.3% YoY เพิ่มขึ้นจาก 7.9% ในเดือน ก.พ. หากออกมามากกว่าคาด ตลาดหุ้นอาจผันผวน ส่วนประเด็นสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังยืดเยื้อ ล่าสุด สภาคองเกรสสหรัฐลงมติเพิกถอนสถานะการค้าของรัสเซีย ห้ามนำเข้าน้ำมันและก๊าซ  

ภาพการคว่ำบาตร (Economics Sanction) กับรัสเซีย จากประเทศฝั่งสหรัฐ และยุโรปยังสร้างแรงกดดันเป็นรายวัน ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่ตลาดจะให้น้ำหนัก คือ การรายงานผลประกอบการงวด 1Q65  จะเริ่มจากกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐ

ด้านตลาดหุ้นไทยจะมีแรงหนุนช่วงสั้น หลังสถาบันจัดอันดับเครดิต Rating คือ Moody’s ได้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทยที่ Baa1 ส่วนสัปดาห์นี้ ตลาดจะให้น้ำหนักกับการประกาศผลประกอบการในงวด 1Q65 เริ่มจากกลุ่มธนาคาร ซึ่ง KS คาดกำไรจะโตขึ้น 10% QoQ และ 1% YoY จากค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญและอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ลดลง โดยหุ้นเด่นในกลุ่มธนาคาร คือ SCB และ KKP

ส่วน Sector อื่นๆ KS ได้รวบรวมบริษัทที่ได้ทำการศึกษา (Coverage) ในเบื้องต้น 

1.) คาดกำไร +%QoQ และ +%YoY อาทิ BAY, KTB, SCB, KTC, BDMS  

2.) คาดกำไร +%QoQ แต่ -%YoY อาทิ BBL, AEONTS, DTAC  

3.) คาดกำไร -%QoQ แต่ +%YoY อาทิ KKP, RJH  

4.) คาดกำไร -%QoQ และ -%YoY อาทิ  TISCO,TTB, TU, PTTEP, CPF, ADVANC

กลยุทธการลงทุน KS ยังคงมุมมองเดิมคือ ตลาดหุ้นโลกและ SET Index ในสัปดาห์หน้าจะแกว่งตัวลง (Sideway Down) แต่ยังไม่ใช่ขาลง  คาดระยะสั้นมีโอกาสผันผวนจากประเด็น Fed 

โดยยังคงแนะนำ “ไม่เพิ่มน้ำหนักพอร์ตการลงทุน” และให้ Take profit หุ้นที่มีกำไร และ Trading โดยสับเปลี่ยนกลุ่ม (Rotation) ไปในกลุ่มที่มีปัจจัยเฉพาะตัวและมีความแข็งแกร่งช่วงที่ตลาดผันผวนหลักๆ แนะนำ  3 กลุ่มหลัก คือ

1.) กลุ่มการแพทย์ BH, BDMS  

2.) กลุ่ม Utilities โรงไฟฟ้า GULF, GUNKUL, GPSC

3.) กลุ่ม REITS อาทิ ALLY, B-WORK, DIF 

ส่วนหุ้นลงทุนในช่วงไตรมาส 2 คือ  กลุ่ม Growth อาทิ COM7 และ Tech Consult อาทิ  (BBIK, BE8) กลุ่มการเงิน (TIDLOR, ASK ,THANI, AEONTS, BAM CHAYO) กลุ่มเครื่องดื่ม (SAPPE, CBG, OSP)  กลุ่ม ICT (DTAC, TRUE) ส่วนกลุ่มที่ควรชะลอการลงทุน คือ กลุ่มปิโตรเคมี และ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์

มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ที่ 1,666-1,700 จุด  โดยมีหุ้น (Top Picks) แนะนำ ได้แก่

- GULF (ราคาพื้นฐาน 46.75 บาท) โดยขณะนี้กำลังพัฒนาโครงการอีกหลายโครงการ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยขยายพอร์ตธุรกิจด้านพลังงานและธุรกิจดิจิทัลต่อไปในอนาคต รวมถึงเพิ่มการเติบโตในระยะยาว และบริษัทมีแผนที่จะลงทุนในธุรกิจศูนย์ข้อมูลที่มีกำลังการผลิต 20-40 เมกะวัตต์ในเฟสแรก พร้อมตั้งเป้าที่จะได้ส่วนแบ่งการตลาดอย่างน้อย 50% ในอีก 5 ปีข้างหน้า

ประเด็นเศรษฐกิจที่น่าติดตาม

- 11 เม.ย. : ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีน (เดือนต่อเดือน) เดือน มี.ค ตลาดคาด 0.3% MOM จาก 0.6% ในเดือน ก.พ., ดัชนีผู้ผลิต (PPI) ของจีน (ปีต่อปี) เดือน มี.ค ตลาดคาด 8.7% YoY จาก 8.8% ในเดือน ก.พ., ผลผลิตอุตสาหกรรมของอังกฤษ (เดือนต่อเดือน) (ก.พ.)      

- 12 เม.ย. : ดัชนียอดขายปลีกจากสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งอังกฤษ (BRC) (ปีต่อปี) เดือน (มี.ค.), ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจของยุโรปจากสถาบัน ZEW เดือน (เม.ย.), ติดตามรายงานประจำเดือนของ OPEC, ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ของสหรัฐ (เดือนต่อเดือน) (มี.ค.) ตลาดคาด 0.5% MOM

- 13 เม.ย. : ดุลงบประมาณธนาคารกลางสหรัฐ (มี.ค.) ตลาดคาด -49.5 พันล้านดอลลาร์, รายงานการส่งสินค้าออกของจีน (ปีต่อปี) (มี.ค.), ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอังกฤษ (ปีต่อปี) (มี.ค.)

- 14 เม.ย. : การเปลี่ยนแปลงในการจ้างงาน (Employment Change) (มี.ค.) ของออสเตรเลีย, ดัชนีราคาค้าส่งของอินเดีย (ปีต่อปี) (มี.ค.) ตลาดคาด  12.1%YoY

- 15 เม.ย. : ตลาดหุ้นส่วนใหญ่หยุดจากวัน Good Friday