กกร.มองราคาน้ำมันดิบปี 65 ทะลุ 100 ดอลลาร์ หั่นจีดีพีปี 65 เหลือ 2.5-4.0%

กกร.มองราคาน้ำมันดิบปี 65 ทะลุ 100 ดอลลาร์ หั่นจีดีพีปี 65 เหลือ 2.5-4.0%

กกร.หั่นเป้าจีดีพีปี 65 ขยายตัวในกรอบ 2.5-4.0% มองทั้งปี 2565 ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสอยู่เหนือ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งตาม จ่อยื่นหนังสือถึงนายกฯ ขอมีส่วนร่วม-ขยายเวลาออกกม.ลูกตามพ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลฯ ที่จะบังคับใช้ 1 มิ.ย.65 ออกไป 2 ปี

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนเมษายน 2565 ว่า ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อและยังมีความรุนแรง ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกมีแนวโน้มทะยานสูงขึ้น และทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มลดลง ความตึงเครียดดังกล่าวกดดันให้อุปทานน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติมีทิศทางตึงตัว

ทั้งนี้ กกร.มองว่า ทั้งปี 2565 ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสอยู่เหนือ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เช่น ในกลุ่มเกษตรและกลุ่มโลหะก็สูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้ให้ภาคธุรกิจต้องเผชิญภาระต้นทุนที่สูงขึ้น และส่งผลต่อเนื่องไปยังระดับราคาสินค้า กระทบต่อความเชื่อมั่นของทั้งผู้บริโภคและนักลงทุน ซึ่งวิกฤตรัสเซียและยูเครนจะทำให้เศรษฐกิจโลกโตน้อยลงกว่าเดิมกว่า 1% และทำให้อัตราเงินเฟ้อโลกเพิ่มขึ้น 2.5% จากที่ประเมินไว้ก่อนเกิดวิกฤติ

นอกจากนี้ จากการแพร่ระบาดของโควิดโอมิครอนในจีนที่ทำให้หลายพื้นที่ต้องล็อกดาวน์ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและอาจทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตในอัตราที่น้อยลงกว่าเดิม รวมทั้งอาจเกิดภาวะ supply chain disruption ที่รุนแรงขึ้น นอกจากนั้น ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั่วโลกส่งผลให้หลายประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะสหรัฐฯ จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตลดลงเช่นกัน รวมถึงตลาดการเงินเริ่มกังวลความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย

สำหรับเศรษฐกิจในประเทศไทยได้รับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงที่สุดในรอบ 10 ปี คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 4.9% เป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมากจะเป็นแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์และกำลังซื้อในประเทศ โดยการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญอื่นๆ เช่น ปุ๋ย สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะหากไปทำให้ราคาอาหารสดและราคาอาหารสำเร็จรูปปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยที่เผชิญความเสี่ยงรอบด้าน แต่ยังคาดว่าจะเติบโตได้ ที่ประชุม กกร. จึงปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 ขยายตัวได้ในกรอบ 2.5-4.0% จากกรอบเดือนมี.ค. 2565 ที่ 2.5-4.5% และคงประมาณการการส่งออกในปี 2565 ว่าจะยังขยายตัวในกรอบ 3.0-5.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะสินค้าในหมวดอาหารและพลังงาน จึงปรับประมาณการเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในกรอบ 3.5-5.5%

นอกจากนี้ สิ่งที่กังวลคือผลไม้ส่งออกไปจีน อย่างทุเรียน จีนยืนยันจะเพิ่มจำนวนผลไม้ไทย โดยการเปิดด่านให้มากขึ้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้เจรจากับรัฐบาลจีนเพื่อแก้ไขในด้านคุณภาพเรื่อง มาตรฐานความปลอดภัยจากโควิดในผลไม้ ไปใช้สำหรับเกษตรกรชาวสวน ล้ง และผู้ประกอบขนส่ง ซึ่งกกร. เสนอให้ภาครัฐสำรองแผนส่งออกผลไม้ ผ่านทางเรือและทางอากาศ ตามเกณฑ์ GAP,GMP+, SHA โดยคาดหมายว่าจะเริ่มส่งออกทุเรียนไปประเทศจีนผ่านระบบการจัดการดังกล่าว ได้ในเดือนเม.ย. 2565

ทั้งนี้ กกร.ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ ที่จะบังคับใช้วันที่ 1 มิ.ย. 2565 แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน ที่เศรษฐกิจโดยรวมได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องทุ่มเททรัพยากรเพื่อฟื้นฟูธุรกิจ และปรับตัวให้อยู่รอด อีกทั้งปัจจุบันกฎหมายลำดับรอง ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ และควรมีเวลาให้ทุกภาคส่วนพิจารณาทำความเช้าใจพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ

“ภายในสัปดาห์นี้จะทำหนังสือเสนอต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เพื่อแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับประเทศสิงคโปร์ เพราะไม่มีโทษทางอาญา ส่วนกฎหมายลูกควรให้เราเข้าร่วมหารือ เพราะคนใช้คือภาคเอกชน ภาคธุรกิจ”