10 อันดับกองทุน 'ผลตอบแทน' สูงสุด ไตรมาส 1/65

10 อันดับกองทุน 'ผลตอบแทน' สูงสุด ไตรมาส 1/65

กองทุนน้ำมัน -หุุ้นลาตินอเมริกา ผลตอบแทนพุ่งแรงในไตรมาส 1/65 รับอานิสงส์ เงินฟ้อสหรัฐปีนี้พุ่งในรอบ 40 ปี และสงครามยูเครน-รัสเซียตึงเครีย ดันราคาน้ำมัน -สินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูง "กองทุนTUSOIL" ผลตอบแแทนนำโด่ง 33.61 % มอร์นิ่งสตาร์ ้เตือนระวังเป็นปัจจัยชั่วคราว

หลังจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง รัสเซียและยูเครน เริ่มกลับมาตึงเครียดขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมานี้ ส่งผลให้ "ราคาน้ำมัน" เพิ่มสูงขึ้นได้ภายใต้สถานการณ์ที่ ดีมานด์ (Demand)  และซัพพาย ( Supply)  ของน้ำมันยังจำกัดอยู่ ส่งผลให้ "ราคาน้ำมัน" สูงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้" และยังมีความกังวลต่อปริมาณน้ำม้นดิบของโลกที่อาจปรับลง ทำให้ราคาน้ำมันดิบยังยืนเหนือระดับ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล 

ขณะเดียวกัน ก่อนที่จะมีความขัดแย้งของยูเครน-รัสเซีย สหรัฐก็เผชิญต่อแรงกดดันของ "เงินเฟ้อ"ที่เพิ่มขึ้นสูงอยู่ และหลังจากที่มีสงครามเกิดขึ้นระหว่างยูเครน-รัสเซีย ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดแรงกดดันของอัตราเงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ "ราคาสินค้าโภคภัณฑ์" ปรับเพิ่มขึ้น  และในสหรัฐไม่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งดังกล่าว 

จึงเห็น "ดัชนีกลุ่มลาตินอเมริกา" ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 และมีการฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีมานี้ จากสัญญาณที่เศรษฐกิจโลกเริ่มมีการฟื้นตัวอยู่ในขณะนี้ จึงเป็นปัจจัยบวกต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก ให้มีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย  

10 อันดับกองทุน \'ผลตอบแทน\' สูงสุด ไตรมาส 1/65

 

ดังนั้น จากเงินเฟ้อสหรัฐปีนี้พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี และความขัดแย้งของยูเครน-รัสเซียตึงเครียดมากขึ้น ส่งผลให้ราคาพลังงานและราคาสินคัาโภคภัณฑ์ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นบวกต่อผลตอบแทนกกองทุน 2  กลุ่มนี้ปรับตัวในระดับสูง

ล่าสุด  มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) รายงานกองทุนรวมที่มีผลตอบแทนสูงสุด 10 อันดับ ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 ดังนี้ 
 
1.กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส ออยล์  (TUSOIL)  มีผลตอบแทน 33.61 %                              
2. กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ออยล์ ฟันด์  ( I-OIL)  มีผลตอบแทน  33.59%                 
3.กองทุนเปิด ทิสโก้ ออยล์ ทริกเกอร์ 8% #6 (TOIL6) มีผลตอบแทน 33.08%                             
4.เอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทน (I-10) มีผลตอบแทน 30.60 %                          
5.กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เอ็นเนอร์จี ฟันด์ ( KT-ENERGY)  มีผลตอบแทน 28.73%
6.กองทุนเปิดเค ออยล์ (K-OIL) มีผลตอบแทน 28.72%
7.กองทุนเปิด ทิสโก้ ละติน อเมริกา (TISCOLAF) มีผลตอบแทน 28.45%
8.กองทุนเปิดกรุงศรีลาตินอเมริกาอิควิตี้ (KF-LATAM)  มีผลตอบแทน 28.10%
9.กองทุนเปิด วรรณ แอคทีฟ6/2 ฟันด์ (ONE-ACTIVE6/2) มีผลตอบแทน 27.19%
10.กองทุนเปิดกรุงศรี ออยล์ (KF-OIL )  มีผลตอบแทน  26.94%

สำหรับ 8 กองทุนทุนรวมน้ำมัน (Commodities Energy) ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 มีผลตอบแทนสูงสุดระดับ 20-30% ปัจจัยหลักมาจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ขณะที่กองทุนต่างประเทศที่ลงทุนในดัชนีหุ้นลาตินอเมริกา มีผลตอบแทนปรับตัวขึ้นมาสูงติดอันดับ 1ใน 10 กองทุนรวมให้ผลตอบแทนสูงสุดในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ ถึง 2 กองทุน   

อย่างไรก็ตามทิศทางตลาดการลงทุนในปีนี้มีความผันผวนสูง และปัจจัยดังกล่าวที่ส่งผลตอบแทนอยู่ในระดับสูงอาจเป็นปัจจัยชั่วคราวเท่านั้นและระดับ NAV ปรับขึ้นมาค่อนข้างมากในช่วงนี้  ดังนั้นต้องระมัดระวังและพิจารณาถึงการรับความเสี่ยงก่อนตัดสินใจเข้าลงทุนด้วยเช่นกัน 

 

 

 

 

 

"ชญานี จึงมานนท์"  นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนเป็นเหตุให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลต่อปริมาณน้ำมันดิบของโลกที่อาจปรับลง

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจากประเด็นดังกล่าวน่าจะยืนอยู่ได้ไม่นานเว้นแต่ว่าความรุนแรงจะเกิดขึ้นจริงและส่งผลต่อปริมาณน้ำมันดิบลดลงหลังจากนี้

ดังนั้น ความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นจากประเด็นดังกล่าวส่งผลให้เกิด Risk premium ของราคาน้ำมันซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่าง Marginal cost และราคาในตลาดโลก (ราคาตลาดเป็นผลจากประเด็นอื่นๆนอกเหนือจากต้นทุนในการผลิต)

โดยงานวิจัยของ Norwegian energy research คาดว่า Marginal cost ของน้ำมันดิบ Brent อยู่ที่ $65 (สูงกว่าคาดการณ์ของ Morningstar ที่ $60) และเมื่อนำมาเทียบกับราคาน้ำมันดิบเมื่อต้นเดือนที่ประมาณ $89 เท่ากับว่า Risk premium ที่เพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันสูงขึ้นเฉลี่ย 35% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ Risk premiumในอดีตที่ 8% ในช่วงปี 2008-2021ที่ผ่านมา

ในช่วงที่เคยเกิดเหตุความรุนแรงในลิเบียทำให้ปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับลดลงประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล 

"ราคาน้ำมัน" นั้นมักถูกกระทบจากปริมาณน้ำมันที่ลดลงหรืออาจเกิดจากภาวะ Demand shocks โดยเหตุการณ์ในอดีตที่กระทบด้านปริมาณน้ำมันดิบที่ผ่านมาเช่น ความขัดแย้งในอิรักและคูเวต หรือวิกฤตในประเทศเวเนซูเอลา

แต่ในบางสถานการณ์ที่ไม่ได้กระทบต่อปริมาณน้ำมันดิบจริงอย่างเช่น สงครามระหว่างรัสเซียและจอเจียร์ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบมากนั้นในช่วงดังกล่าว แม้ว่าตลาดจะให้  Risk premium ที่สูงขึ้นแต่ก็เป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราวตราบใดที่ปริมาณน้ำมันในระบบไม่ได้หายไปจริง

"นาวิน อินทรสมบัติ" รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า แม้ "ราคาน้ำมัน"จะมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงนานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แต่ปัจจัยหนุนในระยะถัดไปมีน้อยลง โดยเฉพาะการที่ทลายประเทศทั่วโลก มีเป้าหมายในการลดคาร์บอนไดออกไชด์และแก้ปัญหาโลกร้อนที่จริงจัง เป็นโอกาสดีสำหรับการลงทุนในธุรกิจพลังงานทางเลือก ที่มีโอกาสเติบโตได้มากกว่า และสอดคล้องกับเมกะเทรนด์ใหญ่ของโลกอย่าง ESG ที่คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

ขณะเดียงกัย แนวโน้มตลาดการลงทุนในไตรมาส 1 ที่ผ่านมานี้ "ตลาดหุ้นโลก" โดยรวมได้ปรับตัวลงสะท้อนประเด็นข่าวร้ายต่างๆไปมากแล้วทั้งเรื่องสงครามรัสเซียกับยูเครนและการแนวโน้มการดำเนินนโยบายที่ตึงตัวกว่าตลาดคาดของเฟด จึงเริ่มเห็นการฟื้นตัวในระยะสั้นที่ผ่านมา

หากมองในระยะถัดไป ความเสี่ยงหลักยังคงเป็นเรื่อง "ราคาพลังงาน" ที่ทำให้เงินเฟ้อลากยาว ทำให้อัตราเงินเฟ้อจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง และท้ายที่สุดจะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และโดยรวมความผันผวนในระยะสั้นยังมีสูง แต่จากเศรษฐกิจโลกที่ยังมีทิศทางเติบโต  ดังนั้น  "หุ้น" จะฟื้นตัวได้ตามปัจจัยพื้นฐานที่แตกต่างไปในแต่ละภูมิภาค ราคาที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา จึงเป็นระดับที่น่าทยอยสะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว