บล.ทิสโก้ คาด "กลุ่มแบงก์"ไตรมาส1/65 กำไร 4.9 หมื่นล้าน โต11%

บล.ทิสโก้ คาด "กลุ่มแบงก์"ไตรมาส1/65 กำไร 4.9 หมื่นล้าน โต11%

บล.ทิสโก้ คาดกกลุ่มแบงก์ไตรมาส1/65 กำไรสุทธิ4.9 หมื่นล้าน โต11% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ด้าน บล.กสิกรไทย คาดโต 5-10% จากไตรมาสก่อนหน้า เหตุ “สำรอง- ค่าใช้จ่าย”ลดลง พร้อม ชี้ ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น จากก่อนหน้าราคาลงไปมากแล้ว  พร้อมแนะซื้อ

 นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ กล่าวว่า คาดกำไร"กลุ่มแบงก์"ไตรมาส 1 ปี2565 อยู่ที่ 49,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังคงเติบโต และการเปิดประเทศมากขึ้น

ขณะที่สินเชื่อปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย  ขณะที่ต้นทุน และการตั้งสำรองที่ลดลง   ขณะที่หากเทียบกับไตรมาส4 ปี 2564 จะเติบโตสูง21%  เป็นเพราะ รายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น และไม่มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโบนัส

บล.ทิสโก้ คาด \"กลุ่มแบงก์\"ไตรมาส1/65 กำไร 4.9 หมื่นล้าน โต11%

 อย่างไรก็ตามยังคงกำไรทั้งปี2565 ของกลุ่มแบงก์ อยู่ที่ 199,380 ล้านบาท โต16% จากช่วงเดียวกับปีก่อน เพราะเชื่อว่าจากเศรษฐกิจไทยที่ปีนี้ชะลอลงบ้างแต่เชื่อว่าจะชดเชยจากส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 

     

นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า ราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง2-3 วันที่ผ่านมา เนื่องจากสถานการณ์ภาพใหญ่ที่มีสัญญาณที่ดีขึ้น ทั้งสถานการณ์รัสเซียกับยูเครนก็เริ่มที่จะนิ่งและสามารถเจรจากันได้บ้าง

 รวมถึงที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดคาดการณ์จีดีพีปี 2565 อยู่ที่ 3.2% ซึ่งปรับลงน้อยกว่าที่ตลาดและ      สำนักวิจัยต่างๆคาดการณ์ไว้ เช่น ทางกสิกรไทยปรับลดจีพีดีปีนี้อยู่ที่ 2.5% และคาดการณ์การบริโภคยังอยู่ระดับกว่า4% ส่วนกสิกรไทย มองอยู่ที่ 1.7%

ดังนั้นทำให้ตลาดคาดว่าการบริโภคภายในประเทศไม่ได้แย่ ซึ่ง ธปท.อาจจะรวมปัจจัยเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ ที่คาดว่ารัฐบาลจะออกมากระตุ้นเพิ่มเติมทำให้การบริโภคยังคงดีอยู่ นักลงทุนจึงหันกลับมาลงทุนในหุ้นกลุ่มแบงก์

สำหรับกำไรสุทธิไตรมาส1ปี 2565 คาดว่าจะเติบโต5-10% เมื่อเทียบกับไตรมาส4ปี 2564 โดยสาเหตุที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้เกิดจากรายได้เติบโต เพราะสินเชื่อโตเพียง 0.3% แต่เป็นเพราะค่าใช้จ่ายที่ลดลง และการตั้งสำรองที่ลดลง  ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนไม่ได้รุนแรงในช่วง2 เดือนที่ผ่านมา แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน คาดว่าจะทรงตัว

อย่างไรก็ตามหากกลุ่มแบงก์ประกาศกำไรไตรมาส1 ปี 2565 ครบแล้วบริษัท มีแผนที่จะปรับลดคาดการณ์กำไรปีนี้ของกลุ่มแบงก์ ลดลงแต่ไม่มาก ซึ่ง จากปัจจุบันที่คาดอยู่ที่ 1.47 แสนล้านบาท โดยเป็นการปรับลดตามคาดการณ์จีดีพี จากที่ทางกสิกรไทยปรับคาดการณ์จีดีพีปีนี้ เหลือ2.5% จากเดิมที่คาด 3.5% และปรับลดการเติบโตสินเชื่อ และ รายได้ค่าธรรมเนียมเล็กน้อย 

“กำไรไตรมาส1ปี 2565 คาดว่าจะออกมา ถือว่าดูดีโต5-10% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เทียบกับไตรมาส1ปี2564 จะทรงตัว ส่วนไตรมาส2 น่าจะสูสีกับไตรมาส1ปีนี้ ส่วนไตรมาส3 ปรับตัวขึ้นดี ส่วนไตรมาส4 อาจจะลดลงจากไตรมาส3 นิดหน่อยจากค่าใช้จ่ายพนักงานและงบโฆษณา”

สำหรับบริษัทยังคงแนะนำซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารอยู่จากปัจจัยที่กล่าวตอนต้น โดยหุ้นแนะนำ คือ ไทยพาณิชย์ (SCB) หากนักลงทุนสามารถถือลงทุนระยะยาวได้ จากที่จะปรับโครงสร้างเป็นเทคคอมพานี ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE)ปรับตัวดีขึ้น โดยปัจจุบันราคาหุ้นจะยังไม่ไปไหนเพราะ อยู่ในช่วงของการทำเทนเดอร์ ซึ่งเป็นปกติของหุ้นที่ทำเทนเดอร์ โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 149 บาท

 ส่วนอีกบริษัท คือบริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ TISCO ให้ราคาเหมาะสม ที่125 บาท จากบริษัทจะกลับมาปล่อย    สินเชื่อมากขึ้น จากสถานการณ์ไม่ได้เลวร้าย ประกอบกับมีการจัด มอเตอร์โชว์ ทำให้สินเชื่อรถยนต์โต และการรุกธุรกิจำนำทะเบียน รวมถึงมีการจ่ายเงินปันผลที่สูง 

  นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ปรับตัวเพิ่มขึ้นมา เพราะ ที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปมากแล้ว

 ขณะที่ปกติงบไตรมาส1 ปี 2565จะเป็นช่วงไฮซีซั่น แต่อาจได้รับผลกระทบจากโอไมครอน และไตรมาส2 จะสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้  ทำให้นักลงทุนกังวลจึงขายทำกำไรไปก่อน

แต่จากที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากแล้ว และคาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะกลับมาฟื้นตัวดีกว่าครึ่งปีแรก จึงทำให้นักลงทุนหันกลับมาลงทุน