BJC บุกตลาดอาเซียน ดันยอดขาย 5 ปี แตะ 2.7 แสนล้าน

BJC บุกตลาดอาเซียน ดันยอดขาย 5 ปี แตะ 2.7 แสนล้าน

‘บีเจซี’ เปิดแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี (65-69) บุกตลาดอาเซียน แย้มกำลังเจรจาจับมือพันธมิตรขยายธุรกิจ-หนุนงบลงทุนลดลง พร้อมตั้งเป้าปี 69 ยอดขายแตะ 2.7 แสนล้านบาท

เมื่อภาพรวมการฟื้นตัวการบริโภคในประเทศเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นนับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป รวมทั้งพื้นที่เช่าหลังรัฐคลายล็อกดาวน์ (Lockdown) แล้ว !! ขณะที่ต้นทุนผลิตสูงขึ้นแต่เชื่อว่าจะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ยกเว้นธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว (กระป๋องปกติเป็นการทำสัญญาล่วงหน้าทั้งต้นทุนและรายได้) และธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งจะชดเชยจากธุรกิจค้าปลีกที่ปีนี้มีโอกาสปรับปรุงมาร์จินได้ดีขึ้น... 

“อัศวิน เตชะเจริญวิกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC และ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) แจกแจงยุทธศาสตร์การเติบโตของกลุ่มธุรกิจในแผน 5 ปีข้างหน้า (2565-2569) ว่า บริษัทมุ่งเน้นการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งปรับโมเดลการลงทุนใหม่ ด้วยกลยุทธ์จับมือ “พันธมิตร” ขยายการเติบโตโดยการเข้าถือหุ้นร่วมกันระดับ 30% หรือ 50% ซึ่งปัจจุบันมีการคุยกับพันธมิตรหลายราย เดิมบริษัทใช้การลงทุนด้วยตัวเอง 100% ไม่ว่าจะเป็น “การซื้อกิจการ (M&A) หรือ การตั้งโรงงานผลิต” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ต้องใช้งบลงทุนสูงระดับหลัก 100 ล้านบาท ไปจนถึง 1,000 ล้านบาท 

ดังนั้น ถือเป็นโอกาสลดการแข่งขันในธุรกิจโดยไม่จำเป็น นอกจากการเข้าไปจับมือเป็นพันธมิตรกับคู่ค้าทำให้เงินลงทุนลดลงแล้ว ในมุมของธุรกิจก็วินวินทั้งคู่เนื่องจากบริษัทก็จะเข้าไปเพิ่มความต้องการ (ดีมานด์) ให้กับพันธมิตรมากขึ้น

โดยเงินลงทุนใน 5 ปีข้างหน้าจะถูกผันแปรไปลงทุนในเรื่องของการปรับแพลตฟอร์มในการปรับปรุงร้านค้าให้มากขึ้น รวมทั้งนำเงินลงทุนไปลงทุนในเรื่องของระบบในการมองเห็นซัพพลายเออร์แต่ละราย และในการวิเคราะห์สำรวจความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ขึ้นมาเพื่อจะได้นำข้อมูลไปวิเคราะห์และทำการตลาดในการขายสินค้าให้มากยิ่งขึ้น 

“เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแนวความคิดและเป็นการเปลี่ยนแนวทางการใช้เงินของบริษัทเพื่อไปใช้ในส่วนของการปรับปรุงแพลตฟอร์มของบิ๊กซีให้แข็งแรงขึ้น”

สะท้อนผ่านการลงทุนของบริษัทในช่วง 5 ปี ซึ่งวางงบลงทุนรวมไว้ที่ 60,000 ล้านบาท หรือแบ่งการใช้งบลงทุนรวมไว้ที่ 12,000-14,000 หมื่นล้านบาทต่อปี สำหรับเงินลงทุนหลักจะมาจาก 2 ส่วน คือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน หรือ การเพิ่มทุน ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 1.3 เท่า และยังสามารถขยาย D/E ถึงระดับ 2 เท่า 

BJC บุกตลาดอาเซียน ดันยอดขาย 5 ปี แตะ 2.7 แสนล้าน โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่จะใช้สำหรับการปรับปรุงสาขา การขยายธุรกิจ การลงทุนในธุรกิจไอที การสร้างแพลตฟอร์ม เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย รวมถึงการจับมือกับพันธมิตรผู้ผลิตในเวียดนาม และประเทศอื่นๆ เป็นต้น เพื่อสร้างยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทจะเปิดสาขา BigC ใหม่ แบ่งเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตจำนวน 2-3 สาขา เป็นสาขาในประเทศ 1-2 สาขา และอีก 1 สาขาในประเทศกัมพูชา , ประเภทฟู้ดเพลสอีก 5 สาขา , BigC Mini จำนวน 150-300 สาขาในไทย และ 5 สาขาในประเทศกัมพูชา จากสิ้นปี 2564 บริษัทมีสาขารวมทุกรูปแบบรวม 1,700 สาขา 

รวมทั้ง บริษัทมีแผนพัฒนาร้านค้า MM Food Service ที่มีอยู่ 2 สาขาในกรุงเทพ เน้นขยายฐานลูกค้ากลุ่มธุรกิจโรงแรม-ร้านอาหาร-จัดเลี้ยง (HoReCa) ซึ่งมีกลุ่มสินค้าให้เลือกกว่า 6,000 รายการ ทั้ง Fresh Food และ Dry Food และการขยายสาขาร้านขายยา SiriPharma เป็นร้านขายยาแบบปลีก-ส่ง โดยบริษัทมีแผนเปิด 2 สาขาเพิ่มในปี 2565

ส่วนร้านค้า “โดนใจ” เป็นร้านค้ารูปแบบใหม่ เปิดโอกาสให้เจ้าของร้านค้าแบบดั้งเดิมปรับปรุงปรุงแบบร้านค้าของตนเองให้ทันสมัยมากขึ้น ผ่านการร่วมมือกับ BJC และซื้อสินค้าจาก BigC เข้าร้าน ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมร้าน 498 แห่ง (18 มี.ค.) และยังมีโอกาสขยายพันธมิตรในอนาคตเพิ่มจากร้านค้าทั่วประเทศกว่า 100,000 ร้าน

“งบลงทุนในการขยายสาขาและปรับปรุงสาขาของ BigC เป็นหลักในสัดส่วนกว่า 70% และอีก 20% จะใช้ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Pagkaging โดยเฉพาะกระป๋องแก้ว” 

เขา บอกต่อว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมปี 2569 อยู่ที่ 270,000 ล้านบาท โดยตามแผนการดำเนินงานระยะกลางในช่วง 5 ปีข้างหน้า จะผลัดดันยอดขายให้เติบโตเฉลี่ย 11-16% ต่อปี โดยกลยุทธ์สำคัญยังคงเดินหน้าในการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า และขยายสาขาร้านค้าในเครืออย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเน้นการขยายตลาดในกลุ่มอาเซียน เพราะมองเห็นศักยภาพที่จะสามารถเติบโตได้อีกมาก และเป็นตลาดค่อนข้างใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูงขึ้น ช่วยหนุนการเติบโตของยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนี้จะผลักดันยอดขายสินค้าเฮาส์แบรนด์ของบิ๊กซีให้อยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท ในปี 2569 

นอกจากนี้ ในแผนการดำเนินงานบริษัทยังเล็งเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของธุรกิจศูนย์ค้าส่ง และกระจายอาหารในประเทศเวียดนาม คือ MM Mega Market Vietnam ที่มีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทมีแผนจะนำธุรกิจดังกล่าวเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนามตามแผนธุรกิจในระยะ 5 ปีนี้ 

และจากศักยภาพของธุรกิจที่เติบโตสอดคล้องไปกับเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม และการบริโภคในประเทศเวียดนามที่เติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยที่หากรวมยอดขายจาก MM Mega Market Vietnam เข้ามานั้น บริษัทจะมียอดขายแตะ 300,000 ล้านบาท ภายในปี 2569 

พร้อมกันนี้ บริษัทยังคงเล็งเห็นโอกาสในการขยายช่องทางการขายผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้น โดยที่บริษัทยังคงเดินหน้าในการผลักดันการขายผ่านช่องทางออนไลน์ต่อเนื่อง ครอบคลุมช่องทางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มที่บริษัทพัฒนาขึ้นเอง และช่องทาง Social Commerce ต่างๆ โดยที่บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายออนไลน์ภายใน 5 ปีเป็นมากกว่า 10% จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 3% ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เข้ามาช่วยในการผลักดันยอดขาย

ขณะเดียวกันในส่วนของการขายสินค้าอุปโภคและบริโภคของบริษัทจะเน้นการเข้าไปขยายตลาดผ่านช่องทางดั้งเดิม (Traditional) ในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในเวียดนามที่ยังมีโอกาสอีกมากที่บริษัทจะนำสินค้าเข้าไปขายในร้านค้า Traditional อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อการผลักดันยอดขายให้กับบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนปี 2565 บริษัทคาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ 170,000 ล้านบาท โดยกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจจะยังคงเน้นการสร้างผลกำไรในแต่ละกลุ่มธุรกิจ รวมถึงการแสวงหาโอกาสให้มีผลกำไรในช่วงที่ภาพรวมเศรษฐกิจมีความผันผวน ความไม่แน่นอนทั้งในและต่างประเทศ

“งบลงทุนปีนี้ 12,000-14,000 ล้านบาท จะใช้ในการปรับปรุงสาขาของบิ๊กซี ไม่ได้รวมถึงเงินที่จะเป็นพาร์ทเนอร์ หรือ ซื้อหุ้นบริษัทที่ผลิตที่ขายสินค้าให้บิ๊กซี หรือ MM เวียดนาม ซึ่งไม่สามารถประมาณการได้ว่าจะเจรจาแล้วเสร็จเมื่อไหร่ จะได้โรงงานไหน”

ขณะที่ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องน้ำมันนั้น ยอมรับว่า ส่งผลต่อต้นทุนธุรกิจบ้างในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. นี้ ขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น เช่น พวกอะลูมิเนียม ที่ผ่านมา บริษัทมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจดังกล่าว

ท้ายสุด “อัศวิน” บอกไว้ว่า ปีนี้เราเดินยุทธ์ศาสตร์การสร้างผลกำไรและหาโอกาสหาผลกำไร แม้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ท้าท้ายมาก แต่บริษัทก็ยังมีการลงทุนต่อเนื่อง ซึ่งระยะ 3-6 เดือนข้างหน้าอาจจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น แต่เชื่อว่าบริษัทสามารถบริหารจัดการจุดนี้ได้