“หุ้นท่องเที่ยว” ตีปีก! จ่อยกเลิก “ไทยแลนด์พาส” เปิดประเทศเต็มรูปแบบ

“หุ้นท่องเที่ยว” ตีปีก! จ่อยกเลิก “ไทยแลนด์พาส” เปิดประเทศเต็มรูปแบบ

หลังสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกเริ่มคลี่คลาย แม้จำนวนผู้ติดเชื้อยังสูง แต่ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง หลายประเทศจึงเริ่มกลับมารับนักท่องเที่ยว ตั้งแต่สหรัฐ ยุโรป ต่อเนื่องมาถึงเอเชีย ซึ่งขณะนี้หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการรับนักท่องเที่ยว

เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย เตรียมเปิดประเทศเต็มรูปแบบ 1 เม.ย. นี้ โดยนักท่องเที่ยวทุกชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสสามารถเข้าประเทศได้แบบไม่ต้องกักตัว

ส่วนเวียดนามนำร่องไปก่อนแล้ว เปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. เช่นเดียวกับเกาะบาหลีของอินโดนีเซีย เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่ 7 มี.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่ญี่ปุ่นเริ่มผ่อนคลายให้ผู้เดินทางบางกลุ่ม เช่น นักศึกษา นักธุรกิจ เข้าประเทศตั้งแต่ 1 มี.ค. แต่ยังไม่เปิดรับนักท่องเที่ยว

หันมาดูประเทศไทย ถือว่านำหน้าประเทศอื่นไปเยอะ เพราะเริ่มเปิดประเทศมาตั้งแต่ 1 ก.ค.2564 ด้วยโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ตามด้วยมาตรการ Test&Go ยกเลิกกักตัวในกลุ่มประเทศที่ได้รับอนุญาตเมื่อ 1 พ.ย. 2564

และทยอยผ่อนคลายเงื่อนไขมาโดยตลอด จากเริ่มแรกต้องตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR 3 ครั้ง ตั้งแต่ประเทศต้นทาง และมาตรวจครั้งที่ 2 เมื่อถึงประเทศไทย จากนั้นเมื่อครบ 5 วัน ต้องตรวจครั้งที่ 3

โดยในการประชุม ศบค. เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมา ได้ปรับเกณฑ์ใหม่ ไม่ต้องตรวจ RT-PCR ที่ประเทศต้นทาง ให้มาตรวจครั้งแรกเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย และวันที่ 5 ให้ตรวจด้วย ATK แทน

ทั้งนี้ ภาครัฐมีเป้าหมายประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นในวันที่ 1 ก.ค. จึงเริ่มผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น ประกอบกับหลายชาติเริ่มคลายล็อกการเดินทางกลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยว ทำให้ศึกแย่งชิงนักท่องเที่ยวเริ่มรุนแรงขึ้น

ไทยในฐานะที่การท่องเที่ยวเป็นรายได้หลัก และนำร่องเปิดรับนักท่องเที่ยวไปก่อนประเทศอื่นๆ คงไม่อยากให้เพื่อนๆ แซงหน้าดึงนักท่องเที่ยวไปหมด 

ล่าสุด กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเตรียมเสนอที่ประชุม ศบค. ในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ พิจารณายกเลิกตรวจ RT-PCR ในวันแรก ให้เปลี่ยนมาตรวจด้วย ATK แทน หวังเริ่มคิกออฟเงื่อนไขใหม่ตั้งแต่ 1 พ.ค. นี้ 

พร้อมเสนอยกเลิกระบบ "ไทยแลนด์พาส" ตั้งแต่ 1 มิ.ย. เป็นต้นไป ให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ตามปกติ เหมือนช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19

ดูจากไทม์ไลน์ที่วางไว้ถือเป็นข่าวดีสำหรับภาคการท่องเที่ยวไทยที่จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ไล่มาตั้งแต่สนามบิน สายการบิน กลุ่มโรงแรมและร้านอาหาร

โดยบล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุว่า การยกเลิกไทยแลนด์พาสจะทำให้การเข้าประเทศง่ายขึ้นและน่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา 9 ล้านคนในปีนี้ตามที่ฝ่ายวิจัยคาด เลือกบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เป็น Top pick

เช่นเดียวกับบล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่า AOT จะได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศที่เร็วขึ้น และสายการบินต่างๆ เตรียมกลับมาเปิดบินระหว่างประเทศ รวมทั้งโอกาสรับบริหารสนามบินเพิ่ม

“หุ้นท่องเที่ยว” ตีปีก! จ่อยกเลิก “ไทยแลนด์พาส” เปิดประเทศเต็มรูปแบบ

ด้านบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า โรงแรมที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการผ่อนคลายมาตรการเปิดประเทศ ได้แก่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ที่มีโครงสร้างรายได้จากโรงแรมในประเทศไทย (อิงปี 2562) ราว 90% ตามด้วยบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ซึ่งมีสัดส่วนรายได้จากโรงแรมในประเทศ 34%

ส่วนบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT แม้รายได้ธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ 62% และเป็นกลุ่ม NH Hotel ถึง 55% ของรายได้รวมปี 2562 แต่เชื่อว่าการผ่อนคลายรอบนี้จะช่วยผลักดันการฟื้นตัวของ MINT ให้เร็วยิ่งขึ้น เพิ่มเติมจากการฟื้นตัวของ NH Hotel ที่มีพัฒนาการเชิงบวกมาตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี 2564

ทั้งนี้ ยังคงน้ำหนักกลุ่มโรงแรม “เท่ากับตลาด” เพราะทางพื้นฐานการดำเนินงานยังต้องใช้เวลากว่าจะกลับสู่ฐานของปี 2562 โดยเลือก MINT และ CENTEL เป็น Top pick ของกลุ่ม จากโครงสร้างธุรกิจที่มีทั้งโรงแรมและร้านอาหาร และกระจายตัวในหลายประเทศ

ส่วน ERW เล่นตาม CENTEL และ MINT ไปได้ หลังราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้ว 8.7% เทียบกับ CENTEL และ MINT ที่ 28% และ 10% ตามลำดับ

นอกจากนี้ มองว่าธุรกิจร้านอาหาร บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M จะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะสาขาในจังหวัดท่องเที่ยว ยิ่งในอนาคตหากนักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมาจะส่งผลบวกต่อร้านอาหารแหลมเจริญ (ปี 2562 มียอดขายราว 800 ล้านบาท หรือ 5% ของรายได้รวม) ประกอบกับสถานะการเงินเป็น Net Cash ราว 7.7 พันล้านบาท พร้อมต่อยอดการเติบโตในอนาคต