ดีล“ไทยพาณิชย์ซื้อบิทคับ”ระทึก ธปท.ห้ามแบงก์ลุย‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ เกิน 3%

ดีล“ไทยพาณิชย์ซื้อบิทคับ”ระทึก  ธปท.ห้ามแบงก์ลุย‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ เกิน 3%

ธปท.-ก.ล.ต.เห็นพ้องห้ามใช้สินทรัพย์ดิจิทัล ชำระสินค้าและบริการ มีผล 1 เม.ย.2565 พร้อมคุมเข้มแบงก์พาณิชย์ลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลได้ไม่เกิน 3% ของเงินกองทุน จับตาไทยพาณิชย์ซื้อบิทคัพ 1.78 หมื่นล้านเข้าข่ายหรือไม่

       นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย มีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็ว สะท้อนความสนใจของประชาชนที่มีจำนวนมากเช่นเดียวกันธนาคารพาณิชย์ ที่มีความสนใจในการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล

     อย่างไรก็ตาม ในมุมผู้กำกับไม่ต้องการให้ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นตัวกลางในการชำระสินค้าและบริการ เพราะไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นเงิน และเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง และเสี่ยงถูกโจรกรรมและใช้ไปในธุรกิจที่ผิดกฏหมายเช่นฟอกเงินได้

        อย่างไรก็ตามการที่ ธปท. ไม่สนับสนุนให้ใช้สินทรัพย์ดิจิทัล ชำระสินค้าและบริการ ไม่ได้หมายความว่า ธปท.ไม่ได้สนับสนุนเทคโนโลยีที่มีเบื้องหลังเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล เช่นบล็อกเชน ฯลฯ เพราะเทคโนโลยี หรือนวัตกรรม ช่วยพัฒนาระบบการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

คุมแบงก์ลงทุนคริปโทไม่เกิน 3%

     นางรุ่ง กล่าวว่า ในมุมการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ธนาคารพาณิชย์ยังสามารถลงทุนในกิจการที่ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลได้ แต่ไม่เกินเพดาน 3% ของเงินกองทุน

      เพื่อให้การขยายการลงทุนทำแบบค่อยเป็นค่อยไป และช่วยจำกัดความเสี่ยงใหม่ๆที่อาจกระทบความเชื่อมั่นต่อธนาคารพาณิชย์ และเพื่อให้เกิดการพิจารณาจัดสรรการลงทุนอย่างรอบคอบ

     ทั้งนี้เพื่อให้การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป และช่วยจำกัดความเสี่ยงบางอย่างบางมุมที่ยังไม่เข้าใจ ว่ามีความเสี่ยงมากเสี่ยงน้อย จึงต้องมีราวกั้น 3%

      อีกทั้งการมีเพดาน 3% ด้านหนึ่งต้องการให้ธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มบริษัทในธุรกิจธนาคาร จัดสรรการลงทุนแบบรอบคอบ อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่แห่ไปลงทุนมากจนเกินไป

     อย่างไรก็ตามกรณีนี้ ธปท.ได้มีการยืดหยุ่น กรณีที่มีการลงทุนเกิน 3% สามารถทำได้ หากเป็นโฮลดิ้งคอมพะนี โดยจะนำส่วนที่เกินไปหักกับเงินกองทุน 100% 

      ในหลักการของการนับเพดานการลงทุนไม่เกิน 3% ของเงินกองทุน เงินส่วนนี้ต้องหักส่วนมูลค่าที่เกินทางบัญชี (Goodwill) ออกไปเต็ม 100% เช่น หากธนาคารมีเงินกองทุน 5 พันบาท ซื้อบริษัทใหม่ 100บาท มูลค่าทางบัญชี 60 บาท แต่เป็น Goodwill 40 บาท ส่วนนี้ให้หักออกจากเงินกองทุน 100% เงินกองทุนก็จะเหลือเพียง 4,960 บาท ที่จะนำไปคิดคำนวนการลงทุนไม่ให้เกิน 3% ของเงินกองทุนทั้งหมด

      ทั้งนี้การกำหนดเพดานที่ 3% จะมีการกำหนดนานแค่ไหน มองว่าก็ต่อเมื่อ มีมาตรฐานสากลออกมา และทำให้ธปท. มั่นใจว่าแนวทางการบริหารสินทรัพย์ดิจิทัล มีความชัดเจนขึ้น สบายใจขึ้น อาจค่อยๆปลดเพดาน 3% ลงได้

      เช่นเดียวกับการเปิดให้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล หากบริษัทหรือธนาคารพาณิชย์ สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่า มีการบริหาร จัดการความเสี่ยงครบทั้ง 6 มิติ ทั้งการดูแลลูกค้า ระบบไอทีต่างๆ ทำได้ตามมาตรฐานธปท. ส่วนนี้ธปท.ก็อนุญาตไม่ต้องนำไปคิดตามเพดานเงินกองทุน

      “เพดานที่ 3% เข้มไปหรือไม่นั้น ปัจจุบันหากดูธนาคารยักษ์ใหญ่ระดับโลก ไปลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล พบว่าเฉลี่ยเพียง 7 พันล้านบาทเท่านั้น หรือเป็นเงินกองทุนเฉลี่ยเพียง 0.4% ดังนั้น 3% ที่กำหนดถือว่าสมเหตุสมผล”

      อย่างไรก็ตามการกำหนดเพดานที่ 3% เฉพาะการลงทุนที่อยู่ภายใต้หน่วยงานกำกับแล้วเท่านั้น แต่หากเป็นธุรกิจที่ยังไม่มีหน่วยงานกำกับ ส่วนนี้ ธปท.ขอให้ดำเนินการผ่านกรอบของ sanbox อย่างจำกัดไปก่อน เพื่อให้ธปท.ดูทั้งประโยชน์และความเสี่ยงควบคู่กันไปได้

     ทั้งนี้เกณฑ์กำกับดังกล่าว คาดว่านำออกมาใช้ได้กลางปีนี้  ส่วนกรณีของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มีแผนเข้าไปถือหุ้นในบริษัทที่ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล คงต้องมาพิจารณาว่าเกิน 3% หรือไม่ เพราะขณะนี้ไทยพาณิชย์อยู่ระหว่างการจัดโครงสร้างให้มีโฮลดิ้ง คอมพะนี

      “ธปท.เชื่อว่าการปรับเกณฑ์ดังกล่าว จะเอื้อให้ธุรกิจในภาคการเงินสามารถปรับตัวได้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน ระบบการเงินได้รับประโยชน์จากการแข่งขัน เกิดการพัฒนาบริการให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชน และทำให้ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศมีมาตรการที่ยอมรับได้" 

      ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคารไทยพาณชิย์ อยู่ระหว่างการทำดีลซื้อหุ้นจำนวน 51% ของบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ผู้นำด้านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย (Digital Asset Exchange)จากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ โดยใช้เงินลงทุนจำนวน 17,850 ล้านบาท

ก.ล.ต.ห้ามใช้ชำระสินค้าตั้งแต่1เม.ย.

     ด้านสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ระบุว่า หลังได้หารือธปท.เห็นตรงกันว่า มีความจำเป็นในการกำกับดูแลและควบคุมการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางชำระค่าสินค้าและบริการ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจโดยรวม

      รวมถึงความเสี่ยงต่อประชาชนและธุรกิจ อาทิ ความเสี่ยงจากการสูญมูลค่าที่เกิดจากความผันผวนของราคา ความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ ความเสี่ยงข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล หรือการถูกใช้เป็นเครื่องมือของการฟอกเงิน

       คณะกรรมการ ก.ล.ต. จึงพิจารณาใช้อำนาจตามกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำกับดูแลการให้บริการของผู้ประกอบธุรกิจไม่ให้มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นเป็นสื่อกลางชำระค่าสินค้าและบริการ เนื่องจากอาจส่งผลให้เกิดการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในวงกว้างนอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุน

      โดยห้ามผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลทุกประเภท ต้องไม่ให้บริการหรือกระทำการอันมีลักษณะที่เป็นการสนับสนุนหรือส่งเสริมการชำระค่าสินค้าและบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น การโฆษณา การชักชวนฯลฯ

     กรณีที่พบว่า ลูกค้าใช้บัญชีที่เปิดไว้เพื่อการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าและบริการ ผู้ประกอบธุรกิจต้องแจ้งเตือนเกี่ยวกับการใช้บัญชีผิดวัตถุประสงค์และไม่ตรงกับเงื่อนไขการให้บริการ และดำเนินการแก่ลูกค้าที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการให้บริการ ซึ่งรวมถึงระงับการให้บริการชั่วคราว ยกเลิกการให้บริการหรือดำเนินการอื่นใดในทำนองเดียวกัน

      ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2565