รัฐรับมือทุเรียน ’ล้น’ ส่งออกตลาดจีนสะดุด

เลขาธิการ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หรือ สศก. ฉันทานนท์ วรรณเขจร ระบุ ได้เตรียมการรองรับผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีผลผลิตประมาณ 1.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อน ซึ่งจะออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนพฤษภาคมนี้ประมาณ 3.5 แสนตัน

กระทรวงเกษตรฯจึงร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ เตรียมมาตรการรับมือผลผลิตที่ออกมากระจุกตัวพร้อมกัน  โดยจะเร่งส่งออกให้ได้อย่างน้อย 2 แสนตัน  เป้าหมายคือตลาดจีน  ที่ต้องเป็นไปตามนโยบาย  Zero COVID เท่านั้น
 
สำหรับปี 2564 ผลไม้ตามฤดูกาลของไทยมีปริมาณ 2.4 ล้านตัน สร้างรายได้ให้เกษตรกรประมาณ 100,856 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นผลผลิตทุเรียนจำนวน 1.1 ล้านตัน หรือประมาณ 47% ของผลผลิตผลไม้ทั่วประเทศ คิดเป็นมูลค่า 76,915 ล้านบาท  คิดเป็นรายได้ที่เกษตรกรขายได้สัดส่วน 76% ของรายได้จากผลไม้ทั่วประเทศ โดยผลผลิตทั่วประเทศแบ่งเป็นภาคเหนือ 7.02 แสนตัน สร้างรายได้ 8,878 ล้านบาท ภาคกลางผลผลิต 9.23 แสนตัน สร้างรายได้ 42,473 ล้านบาท และภาคใต้ 9.23 แสนตัน สร้างรายได้ 48,946 ล้านบาท

ด้านอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง ระบุ กรมฯได้เน้นย้ำแนวทางและวิธีการปฏิบัติร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานราชการ และกลุ่มเกษตรกร ให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ ดำเนินการควบคุมเบ็ดเสร็จแบบเข้มข้นในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยเฉพาะผลไม้เศรษฐกิจที่สำคัญอย่างทุเรียน ซึ่งในส่วนของผู้ค้า 

โดยสั่งการให้สำนักงานเกษตรจังหวัดตั้งชุดเฉพาะกิจร่วมกับฝ่ายปกครองในพื้นที่ เพื่อสกัดกั้นทุเรียนอ่อนในจังหวัดแหล่งผลิตที่สำคัญ โดยใช้บทลงโทษทางกฎหมาย ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 271 ผู้ใดขายโดยหลอกลวงด้วยประการใดๆ ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด สภาพคุณภาพ หรือปริมาณแห่งของอันเป็นเท็จนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 47 ผู้ใดเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่น อันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 ด้านสวน ได้ร่วมกันกำหนดมาตรการในการควบคุมทุเรียนอ่อน ภายใต้มาตรการต่าง ๆ เช่น การประกาศวันเก็บเกี่ยวทุเรียน โดยสำนักงานเกษตรจังหวัด ได้ออกเป็นประกาศจังหวัดแต่ละจังหวัด และประกาศอื่นของจังหวัดในส่วนที่เกี่ยวข้อง สำหรับพันธุ์กระดุม กำหนดเก็บเกี่ยววันที่ 20 มี.ค. 2565 พันธุ์ชะนีและพวงมณี วันที่ 10 เม.ย.  2565 และพันธุ์หมอนทองและก้านยาว วันที่ 25 เม.ย. 2565 

แต่ในกรณีที่เกษตรกรมีผลผลิตที่พร้อมตัดจำหน่ายก่อนตามวันที่ประกาศ ต้องแจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครเกษตร หรือเกษตรอำเภอก่อนเพื่อดำเนินการตรวจสอบรับรองความแก่ทุเรียนตามขั้นตอนที่กำหนด รวมถึงการตรวจเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งในเนื้อทุเรียน ตามมาตรฐานของ มกษ.3-2556 ที่กำหนดให้ทุเรียนพันธุ์กระดุม ไม่น้อยกว่า 27%น้ำหนักแห้ง พันธุ์ชะนีและพันธุ์พวงมณี ไม่น้อยกว่า 30% น้ำหนักแห้ง พันธุ์หมอนทอง ไม่น้อยกว่า 32 % น้ำหนักแห้ง ซึ่งเกษตรกรหรือมือตัดทุเรียนสามารถนำทุเรียนมาตรวจเพื่อขอใบรับรองก่อนตัดส่งผู้ประกอบการได้ ณ สำนักงานเกษตรอำเภอที่ตั้งแปลงหรือสถานที่อื่นที่กำหนด
 
นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำมาตรการป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อ COVID - 19 ระดับสวนเกษตรกร ให้ทุกสวนผลไม้ส่งออกได้ยึดถือปฏิบัติ สอดคล้องกับเป้าหมายในการส่งออกผลไม้ภาคตะวันออก ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่กำหนดเป้าหมายไว้ว่า “การส่งออกผลไม้ต้อง Zero COVID เท่านั้น” ประกอบไปด้วย

 1. ต้องมีจุดตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย อย่างน้อย 1 จุด 2. มีจุดล้างมือพร้อมน้ำยาล้างมือหรือเจล/สเปรย์แอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 จุด 3.  มีแนวกั้นบริเวณอาณาเขตของสวน และมีจุดเข้าออกทางเดียว 

4.การเข้าออกของแรงงานและคนในสวน ห้ามไม่ให้แรงงานของสวนออกจากสวน หรือถ้ามีการออกจากสวนต้องผ่านการตรวจวัดอุณหภูมิหรือมีมาตรการดำเนินการอื่นๆ

5.การเข้าออกของบุคคลภายนอก ห้ามบุคคลภายนอกเข้าออกสวนโดยไม่มีความจำเป็น และถ้ามีการเข้าออกต้องผ่านการคัดกรอง และมีการจดบันทึกทั้งคนและรถที่ผ่านเข้าออก

6. ให้แรงงานและผู้เกี่ยวข้องในสวนได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็ม 7. มีการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาและทุกคน 8. มีการตรวจ ATK ทุก 7 วัน ทั้งเจ้าของสวนและแรงงาน และคนเข้าออกสวนต้องมีใบรับรองผลตรวจ ATK 9. สวมถุงมือที่สะอาดในขณะที่มีการปฏิบัติงานในสวน 10. ต้องมีการเว้นระยะห่างของบุคคล อย่างน้อย 1 เมตร และ 11. มีการจดบันทึกทุกขั้นตอนในแต่ละวัน ได้แก่ การเข้าออกสวน ผลตรวจ ATK  การวัดอุณหภูมิ การฉีดวัคซีน เป็นต้น พร้อมทั้งกำชับเรื่องการสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาด้วย