Energy Sector ผลกระทบจากการที่รัสเซียบุกยูเครน

Energy Sector ผลกระทบจากการที่รัสเซียบุกยูเครน

เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรรวมของหุ้น 16 ตัวในกลุ่มพลังงานที่เราดูแลอยู่ในปี 2565 ขึ้นอีก 17% เป็น 3.19 แสนล้านบาท และปี 2566 ขึ้นอีก 8% เป็น 2.74 แสนล้านบาท เนื่องจากเราปรับราคาน้ำมันดิบ Dubai, ราคาถ่านหิน Newcastle และราคาก๊าซ Henry Hub ดีขึ้น

ในขณะที่เรายังปรับ spread ของน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น แต่ปรับ spread ของ HDPE, PP, BZ, ABS, PS และ BPA ลดลง (Figure 2)

 

ตลาดนํ้ามันดิบ: ราคานํ้ามันดิบพุ่งสูงขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

เราปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบจากเดิม US$70/65/bbl เป็น US$90/75/bbl ในปี 2565/66 จากการที่รัสเซียบุกยูเครน ซึ่งทำให้อุปทานน้ำมันดิบจากรัสเซียสะดุดเพราะสหรัฐใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย จากรายงานของ EIA รัสเซียเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบและคอนเดนเสทที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (4.7MBD) ในปี 2564 รองจากซาอุดิอาระเบีย นอกจากนี้ รัสเซียยังส่งออกน้ำมันดิบและคอนเดนเสทประมาณ 50% ของการส่งออกทั้งหมดไปยังยุโรป ในขณะเดียวกัน IEA คาดว่าอุปทานน้ำมันดิบจากรัสเซียจะสะดุดไปประมาณ 3.0MBD จากการคว่ำบาตรของสหรัฐ แต่อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่า OPEC+ จะยังคงยึดตามนโยบายเดิมที่จะเพิ่มอุปทานน้ำมันดิบเดือนละ 400KBD ไปจนถึงเดือนกันยายน 2565 ซึ่งเท่ากับจะมีอุปทานเพิ่มขึ้นอีก 2.4MBD ในอีกหกเดือนข้างหน้า นอกจากนี้ ถ้าหากสหรัฐยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน จะทำให้อิหร่านสามารถเพิ่มอุปทานน้ำมันดิบขึ้นอีก 1.25MBD จาก 2.55MBD ในเดือนกุมภาพันธ์ เรายังได้ปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบระยะยาวเป็น US$70/bbl จากเดิม US$65/bbl เนื่องจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น

 

ตลาดโรงกลั่น: ปี 2565F เป็นปีที่สมบูรณ์แบบสำหรับโรงกลั่น

ใน 1QTD22 spread ของน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลพุ่งสูงขึ้นเป็น US$17.7/bbl (+14% QoQ), US$14.9/bbl (+46% QoQ) และ US$20.1/bbl (+76% QoQ) ตามลำดับ เนื่องจาก i) อุปทานตึงตัวขึ้นเพราะอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นใน EU ลดลง และการส่งออกน้ำมันจากจีนลดลงเนื่องจากอุปทาน

 

 

น้ำมันดิบจากรัสเซียสะดุด และ ii) อุปสงค์แข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่ผู้บริโภคทั่วโลกกลับมาเดินทางและกิจกรรมทางธุรกิจฟื้นตัวขึ้น ทั้งนี้โรงกลั่นอิสระของจีน (หรือเรียกว่า teapots) ได้ปรับลดอัตราการใช้กำลังการผลิตลงเนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงขึ้นบีบให้ margin ลดลงหลังจากที่ประเทศจีนพยายามคุมราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค โดยรัฐบาลจีนได้ปรับลดโควต้าการส่งออกน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลลง เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดแคลนน้ำมันสำเร็จรูปภายในประเทศ นอกจากนี้ อุปสงค์น้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลในปัจจุบันได้กลับไปอยู่ระดับสูงกว่าเมื่อก่อนที่ COVID จะระบาดแล้ว จากกิจกรรมการเดินทางที่เพิ่มขึ้นและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในขณะที่คาดว่าอุปสงค์น้ำมันเครื่องบินจะกลับไปอยู่ระดับก่อน COVID ระบาดได้ใน 4Q65 ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มสมมติฐาน spread ของน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลปี 2565 เป็น US$16.0/12.0/16.0/bbl และปี 2566 เป็น US$14.0/14.0/14.0/bbl ตามลำดับ

 

ตลาดปิโตรเคมี: จะมีกำลังการผลิต olefins และ aromatics จำนวนมากเพิ่มเข้าในตลาดในปี 2565F
 

เราคาดว่า spread HDPE จะลดลงเหลือ US$450/ton และ US$500/ton ในปี 2565-2566 จาก US$536/ton
ในปี 2564 เพราะคาดว่าจะมีกำลังการผลิต PE ใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาดถึง 10.0MTA ในปี 2565 และ 6.0MTA ในปี 2566 ในขณะที่คาดว่าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้นเพียง 4.0-5.0MTA เท่านั้น ทั้งนี้ spread ของ HDPE ลดลงเหลือ US$433/ton ใน 1QTD22 (-15% QoQ) ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำมาก (ต่ำกว่า US$500/ton) นอกจากนี้ เรายังคาดว่า spread ของ PP จะลดลงเหลือ US$530/ton และ US$580/ton ในปี 2565-2566 จาก US$675/ton ในปี 2564 เนื่องจากจะมีอุปทาน PP เพิ่มเข้ามาเป็นจำนวนมากถึง 7.0MTA ในปีนี้ โดย spread ของ PP ลดลงเหลือ

 

 

US$502/ton ใน 1QTD21 (-15% QoQ) ซึ่งถือเป็นระดับที่แย่ (ต่ำกว่า US$550/ton) ส่วนในตลาด aromatics นั้น spread ของ PX ดีดตัวขึ้นมาอยู่ที่ US$254/ton ใน 1QTD22 (+20% QoQ) แต่ยังถือเป็นระดับที่ต่ำมาก (ต่ำกว่า US$350/ton) ในขณะที่ spread ของ BZ ลดลงเหลือ US$247/ton ใน 1QTD22 (-6% QoQ) ทั้งนี้เราใช้สมมติฐาน PX และ BZ-over-condensate ที่ต่ำในปีนี้ที่ US$270/ton และ US$260/ton ตามลำดับ เนื่องจากคาดว่าจะถูกกดดันจากโรงงาน aromatics ใหม่ซึ่งทำให้กำลังการผลิต PX เพิ่มขึ้น 7.2MTA และ BZ เพิ่มขึ้น 3.5MTA ในปี 2565

 

Valuation and action

ยังคงเลือก ESSO เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงาน และเพิ่ม SPRC และ TOP เข้ามาด้วย

เนื่องจากเรามองบวกกับตลาดโรงกลั่น เราจึงเลือก Star Petroleum Refining (SPRC.BK/SPRC TB)*,ESSO Thailand (ESSO.BK/ESSO)* และ Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)* เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่ม พลังงาน เนื่องจากเราชอบบริษัทที่กำไรจากธุรกิจโรงกลั่นคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของ EBITDA รวม โดยในกรณีของ SPRC, ESSO และ TOP คิดเป็นสัดส่วน 100%, 80% และ 60% ตามลำดับ นอกจากนี้ Bangchak Corporation (BCP.BK/BCP TB)* น่าจะได้อานิสงส์ด้วยเช่นกัน เนื่องจากกำไรประมาณ 40% ของ EBITDA รวมมาจากธุรกิจโรงกลั่น และคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะสูงถึง 8.3% ในปีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีบางประเด็นที่อาจกระทบกับหุ้นเด่นของเราบ้างอย่างเช่น SPRC ที่กำลังเผชิญกับประเด็น ESG หลังจากที่เกิดกรณีน้ำมันรั่วลงทะเลเมื่อวันที่ 25 มกราคม ส่วน ESSO ยังไม่สามารถให้ข้อมูลที่ชัดเจนได้ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับ base GRM และผลกำไร/ขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ในขณะที่ TOP มีแผนจะเพิ่มทุนอีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาทใน 2H65

เราปรับลดคำแนะนำหุ้น PTT Exploration & Production (PTTEP.BK/PTTEP TB)* จากซื้อเป็นถือ เนื่องจากมองว่าราคาเป้าหมายใหม่ของเรายังมี downside อีก 9.00 บาท ถ้าหากสหรัฐคว่ำบาตรพม่าในอนาคต ทั้งนี้ปริมาณยอดขายของ PTTEP ในพม่าอยู่ที่ประมาณ 42KBOED คิดเป็น 9% ของประมาณการยอดขายรวมในปี 2565 ของเรา ในขณะเดียวกันเรายังคงคำแนะนำซื้อ PTT Pcl. (PTT.BK/PTT TB)* และ BANPU Pcl. (BANPU.BK/BANPU TB)* เนื่องจากราคาพลังงานอยู่ในระดับสูง สำหรับกลุ่มปิโตรเคมี เราชอบเพียง Indorama Ventures (IVL.BK/IVL TB)* เท่านั้น เนื่องจาก spread ของ PTA และ PET ยังสูงต่อเนื่องใน 1Q65 ในขณะที่คาดว่าอุปสงค์จะสูงตามฤดูกาลใน 2Q65 แต่เราคาดว่า PTT Global Chemical (PTTGC.BK/PTTGC)* และ IRPC Pcl. (IRPC.BK/IRPC TB)* จะถูกกดดันจาก spread ของ HDPE และ PP ที่ลดลง เพราะจะมีกำลังการผลิต PE และ PP เพิ่มเข้ามาในตลาด 10.0MTA และ 7.0MTA ในปีนี้ ตามลำดับ